วันพฤหัสบดี ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / บันเทิง
เปิดใจ ‘ยุ้ย ปัทมวรรณ’ สุขล้นเมื่อพบชีวิตที่โหยหา

เปิดใจ ‘ยุ้ย ปัทมวรรณ’ สุขล้นเมื่อพบชีวิตที่โหยหา

วันอาทิตย์ ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556, 06.00 น.
Tag :
  •  

“งานประจำคือสิ่งที่โหยหามาตลอด แต่งานบันเทิงคือสิ่งที่ทำให้มีวันนี้ ที่ผ่านมาคุณพ่อคุณแม่ไม่เคยสนับสนุน แต่ไม่เคยห้าม” คำกล่าวของ “ยุ้ย” ปัทมวรรณ นิยม ลูกสาวของพ่อรอง-แม่ทุม เค้ามูลคดี หลังผันชีวิตจากวงการบันเทิงสู่อาชีพงานประจำ และปัจจุบันกำลังมุ่งมั่นกับธุรกิจส่วนตัว แม้วันเวลาจะผ่านไปแต่รอยยิ้มของเธอยังคงอยู่ในใจแฟน ๆ อยู่เสมอ และ คอลัมน์สตาร์เรโทร ครั้งนี้ ทีมข่าวแนวหน้าได้ตามติดชีวิตของนักร้อง และนักแสดงสาวคนนี้ พร้อมคติแนวคิดหากใช้ชีวิตคิดแง่บวก ย่อมทำให้เราดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีความสุข

เริ่มต้นเข้าวงการ


“ถ้าแรกสุดตอนนั้นยุ้ยอายุ 11 ขวบ เล่นละครเรื่องแรกเลย “วัลลี” ช่อง 3 ตอนนั้นยังเด็กมากทุกคนในกองเป็นเพื่อนเล่นกันหมด อาจเป็นเพราะว่าลูก ๆ เพื่อน ๆ คุณแม่เล่นด้วยเลยทำให้รู้จักกันหมดค่ะ เลยไม่รู้สึกว่าเข้าวงการ ตอนนั้นสนุกสนานฮาเฮมาก เหมือนอยู่บ้านที่เราเล่นด้วยกันหลังจากนั้นก็หยุดไปเพราะเพิ่ง ป.6 หายไป 2- 3 ปี เพื่อไปเรียนต่อค่ะ”

กลับมาอีกครั้งพร้อมรางวัลตุ๊กตาเงิน

 “กลับมาเล่นใหม่อีกครั้งเรื่อง “น้องเมีย” ตอนนั้นอายุประมาณ 14 แล้ว จำได้ว่าเหมือนไปรำที่งาน ๆ หนึ่งได้เจอ ท่านมุ้ย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ท่านให้ไปถ่ายรูปที่วังท่านเลยได้มาเล่นเรื่องนี้ ซึ่งถือว่าการกลับมาครั้งนี้ประสบความสำเร็จนะคะทุกคนเริ่มรู้จักเราอาจเป็นเพราะเป็นหนังของท่านมุ้ยด้วย ทุกอย่างมันการันตีได้ในเรื่องของคุณภาพ แต่ด้วยความที่ยุ้ยยังเด็กเลยทำให้ไม่รู้ลึกซึ้งเรื่องของการแสดงใครมีฝีมือหรือไม่มีอย่างไร แต่ว่าทุกคนรู้จักท่านมุ้ยเพราะว่าท่านคือสุดยอดในวงการ ตื่นเต้นนะที่จะได้ร่วมงานกับท่าน ตอนนั้นกลัวทุกสิ่งทุกอย่าง และหนังเรื่องนี้ทำให้ทุกคนเริ่มรู้จักยุ้ย และเป็นเรื่องแรกที่ทำให้เราได้รับรางวัล ตุ๊กตาเงิน รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ครั้งที่ 14 ประจำปี พ.ศ. 2533 พิเศษดาวรุ่งฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม ดีใจมากค่ะรู้สึกว่าสิ่งที่เราตัดสินใจไม่ผิด ยุ้ยรู้สึกว่าเราเริ่มต้นเข้าไปได้รับสิ่งใหม่ๆ แล้วบางทีไปถ่ายต่างจังหวัด เรารู้สึกว่าเราคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ ถึงขนาดว่าร้องไห้ตอนกลางคืนเราเด็กมากไม่เคยไปอะไรแบบนี้ แต่ว่าพอเราได้เรียนรู้ทุกอย่างจากท่านมุ้ย กองถ่ายทุกคนน่ารักมาก พี่ ๆ ทุกคนเอ็นดูสอนเราทุกอย่างมันทำให้รู้สึกว่า ในความเหนื่อยในความยากลำบากมันก็มีความสุข คือสิ่งที่เราได้แลกกลับมากับความเป็นเด็กที่เราหายไปมันเยอะมากค่ะ พอได้รางวัลนี่หายเหนื่อยเลย แล้วหลังจากนั้นก็มีงานละครเรื่องอื่น ๆ ตามมาอีกหลายเรื่องค่ะ อาทิ “หนี” , ริษยา” ฯลฯ”

คำแนะนำเรื่องการแสดงจากคุณพ่อคุณแม่ (พ่อรอง-แม่ทุม เค้ามูลคดี)

 “ไม่เลยค่ะ ท่านไม่เคยยุ่งเรื่องการแสดง ไม่เคยสนับสนุน แต่ไม่เคยห้าม ท่านจะบอกเรื่องมารยาท สอนอย่างเดียวว่าให้วางตัวในกองถ่ายอย่างไร ให้ไหว้ทุกคน เชื่อฟังทุกคนเพราะเขาโตกว่าเรา สอนให้เราอดทนนะอะไรอย่างนี้ เพระการที่เราเป็นนักแสดงมันเหนื่อยกว่าคนอื่นเยอะมาก ไม่ได้ใช้ชีวิตกับเพื่อน ๆ เหมือนเด็กปกติทั่วไปเพราะต้องอยู่แต่ในกองถ่าย ส่วนเรื่องการแสดงเป็นหน้าที่ของผู้กำกับพ่อกับแม่ไม่ก้าวก่ายอยู่แล้ว”

เข้าสู่วงการเพลง

“จริง ๆ คือเป็นคนชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนนั้นเป็นช่วงที่เล่นละครเรื่อง “หนี” แล้วทางค่ายคีตา เรคคอร์ดส์ ติดต่อพอเราทราบตื่นเต้นมากเพราะว่าตอนนั้น พี่ อ้อม สุนิสา กำลังดังมาก ซึ่งพี่เขาอยู่โรงเรียนเดียวกับเรา เรียนด้วยกันตั้งแต่ประถม ที่โรงเรียนถนอมพิศวิทยา พอมัธยมก็เรียนโรงเรียนเดียวกันอีกที่โรงเรียนบดินทร์เดชา เรารู้สึกดีใจมากที่ได้อยู่ค่ายเดียวกับพี่อ้อม เลยตัดสินใจไปเทสต์เสียงปรากฏว่าผ่านเลยได้เริ่มต้นเป็นนักร้องจากตรงนั้น”

กระแสตอบรับ

“งานเพลงชุดแรกชื่อ “รู้แล้วจะหนาว” กระแสตอบรับดีมากเลย เป็ฯช่วงเวลาที่เราสนุกมากเพราะว่าอย่างที่บอกว่าชอบร้องเพลง แล้วทุกครั้งที่ร้องเพลงจะรู้สึกสนุกแต่ก่อนที่จะได้รับผลตอบรับขนาดนี้ ตอนที่ต้องเข้าห้องอัดมันกดดันมาก ยากมาก คือความสนุกที่เรารูสึกว่าเราชอบร้องเพลงเนี่ยะมันหดลงไปบ้างเพราะมันไม่เหมือนกับเวลาที่เราร้องเล่น ๆ ทุก ๆ วัน หรือเวลาที่บ้านมีงานแล้วไปร้องเพลงกับพี่ชาย มันไม่เหมือนเลย ทุกอย่างมันต้องเป๊ะ ซึ่งยุ้ยก็ต้องไปเรียนเพิ่มบ้าง แต่พอถึงวันที่ทุกอย่างมันออกมาเสร็จสิ้น เราหายเหนื่อยเลย และหลังจากนั้นก็มีอัลบั้มอื่น ๆ ตามมาอีก “เพราะ..เธอยังคงมีฉัน”, “ออเรนจ์-ยุ้ย” ค่ะ ก่อนที่ค่ายจะปิดตัว ”

กลับมาอีกครั้งกับงานเพลงลูกทุ่ง

“เป็นช่วงที่ยุ้ยกำลังเรียนปริญญาโทอยู่ ช่วงนั้น มีดารามาร้องเพลงลูกทุ่งเยอะ ซึ่งตัวยุ้ยเองรู้สึกว่าเราโตแล้วบางทีการที่เราได้ลองทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำก็น่าจะดี  เพราะชีวิตที่ผ่านมาร้องเพลงสตริงอย่างเดียว แต่ว่าอาจจะไม่มีใครรู้ว่า ยุ้ยได้ฟังเพลงลูกทุ่งตั้งแต่เด็ก คือเราอาจจะชอบเพลงสตริง แต่ว่าเกิดมาเราได้ยินเพลงลูกทุ่งมาตลอด เพราะว่าผู้ใหญ่รอบตัวฟังแต่เพลงลูกทุ่ง เลยทำให้ยุ้ยซึมซับเราพอร้องได้แต่ร้องในแบบของเรานะ ไม่ได้ร้องเอื้อน ๆ  แบบพี่ ๆ ที่เป็นนักร้องลูกทุ่งเขาร้องกัน แล้วช่วงนั้นประจวบกับที่ค่ายนพพงศ์ ติดต่อมา ตอนแรกคิดอยู่นานนะเพราะว่าเราร้องเพลงลูกทุ่งไม่เก่งเอื้อนไม่เป็น แต่ว่าสุดท้ายเขาให้อิสระ ให้ยุ้ยร้องในแบบที่เราร้อง เราเลยตัดสินใจลองดู และพยายามทำในแบบของราให้ดีที่สุด”

กระแสตอบรับกับงานเพลงลูกทุ่งครั้งแรกในชีวิต

“ค่อนข้างดีเลยนะคะสำหรับอัลบั้ม “ร้องเพลงให้พ่อฟัง” เป็นชื่อเพลงโปรโมทเพลงแรกด้วย แล้วในอัลบั้มมีอีกเพลง “เจ็บนี้ไม่มีวันจาง” ตอนแรกเรากลัวนะว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่พอไปเดินสายที่ต่างจังหวัดทุกคนร้องเพลงของยุ้ยได้หมดเลย แถมเพลงยังติดชาร์จในต่างจังหวัดอีกด้วย ซึ่งเพลงนี้เรารู้ได้ตั้งแต่แรกว่าน่าจะโดนใจคนฟังนะ เพราะตอนที่อัดเสียง เราชอบมาก เนื้อเพลง ทำนอง เมโลดี้ ทุกอย่างมันน่าจะโดนใจหลายๆคน แต่ช่วงเวลาเข้าห้องอัดน้ำตาตกยิ่งกว่าร้องเพลงสตริงมากนะ เพราะมันยากมาก ยากทุกคำ คืออย่างที่บอกว่าเราไม่ใช่นักร้องลูกทุ่งตั้งแต่แรกเราก็ต้องพยายาม ถึงแม้ว่าเราจะร้องในแบบของเรา แต่ว่ามันต้องมีกลิ่นอายลูกทุ่งด้วย เหมือนเราต้องนับหนึ่งใหม่ ตอนนั้นเรานึกในใจว่านับถือพี่ ๆ นักร้องลูกทุ่งทุกคน หรือทุก ๆ คนที่ร้องเพลงลูกทุ่งได้เขาเก่งมาก สุดยอดมาก ซึ่งระหว่างที่เราต้องอัดเสียงเพลงทำเพลง ได้โทรไปขอคำปรึกษาจากพี่ ๆ ที่เป็นนักร้องลูกทุ่ง หลายคน จำได้ว่าโทรหาพี่ลูกน้ำ พาเมล่า โทรไปบอกว่าพี่หนูเหนื่อยมาก ยากมา ทำอย่างไรดี พี่ ๆ เขาให้กำลังใจกลับมาและมันก็ผ่านไปได้”

ห่างหายจากวงการ

“มันหลายอย่าง เหมือนยุ้ยที่ผ่านมาอยากใช้ชีวิตทำงานออฟฟิศมาตลอดเวลา คือเรียนจบปริญญาตรีปุ๊ปยุ้ยทำงานเลย ตอนนั้นทำงานบริษัทการบินกรุงเทพ บางกอกแอร์เวย์ แต่ยังทำงานในวงการบันเทิงอยู่บ้างนะคะ ช่วงนั้นมีถ่ายละครซึ่งเจ้านายใจดีมากน่ารักมากที่อนุญาตให้เราไปเข้ากอง แล้วหลังจากทำได้พักหนึ่ง ยุ้ยลาออกมาเรียนต่อปริญญาโทช่วงที่ทำเพลงลูกทุ่งด้วยค่ะ พอเรียนจบ ก็กลับไปทำงานเหมือนเดิม อยู่กับบริษัท พี.ซี. แอร์ เป็นสายการบินเหมือนกัน เนี่ยะค่ะการใช้ชีวิตที่เราโหยหามาตลอด แต่หลังจากนั้นจุดเปลี่ยนสำหรับเราคือ ระหว่างนั้นเราเริ่มทำธุรกิจไปด้วย ซึ่งไปได้ค่อนข้างดีเลยค่ะ เราเลยตัดวินใจลาออกจากงานประจำแล้วมาเริ่มทำธุรกิจของตัวเองเต็มตัว ซึ่งตอนนี้ยุ้ยทำผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักชื่อ Sileeny by Yui (สิลีนนี่ บาย ยุ้ย) และกำลังจะทำครีมออกมาเป็นครีมหน้าใสเร็ว ๆ นี้คงได้ออกมาให้เห็นกันค่ะ”

หลักการใช้ชีวิตในวงการบันเทิงเมื่อเจอกระแสข่าว

“จริง ๆ แล้วบางทีการที่ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่มากเท่าไร หลาย ๆ สิ่งที่ทำมันอาจจะทำโดยไม่คิดบ้าง ยังสนุกแบบเด็ก ๆ มันย่อมมีสิ่งที่ถูกบ้างผิดบ้าง แต่ว่าโชคดีของความเป็นเด็กคือเราไม่ได้ไปจมปลักกับข่าวมากมาย ต้องเอาเวลาของเราไปทำอย่างอื่น เช่น ไปเรียนหนังสือ อยู่กับเพื่อน ทุกอย่างมันทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขไปได้ทุกวัน ไม่ได้มาคิดถึงเรื่องข่าวต่าง ๆ มากมายอย่างนี้ คนรอบตัวทำให้เรามีความสุขตลอดเวลา คือบางทีตอนนี้ยุ้ยอยากจะกลับไปเหมือนตอนนั้นมาก เวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างเขาบอกให้เราคิดบวก เวลานั้นเป็นเวลาที่เราเป็นเด็กมาก ๆ เราคิดทุกอย่างบวกหมดเลย มันทำให้เราไม่ทุกข์ แต่พอยิ่งโตขึ้น ๆ เรากลับคิดบวกได้ไม่เท่าตอนเด็ก ๆ เราทุกข์มากกว่าตอนเด็ก ๆ ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปได้ไม่สงสัยเลยว่าทำไมทุกคนตอนนี้เขาถึงให้เราคิดบวก เพราะว่าอย่างน้อยถึงใครจะคิดไม่ดีอย่างไร แต่เราคิดบวกเท่านั้นเพื่อไม่ให้มันบั่นทอนใจเราเอง ทำให้เราดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีความสุข”

สิ่งที่ได้จากวงการบันเทิงมีอะไรบ้าง

“เยอะมากเลยนะคะ อันดับแรกคือได้รู้จักสังคมใหม่ๆ มิตรภาพใหม่ๆ ซึ่งถ้าเราแบบว่าอยู่ในสังคม โรงเรียน มหาวิทยาลัย เราก็คงไม่ได้เจอแบบนี้เพราะว่าวงการบันเทิงมันหลากหลายมาก เราได้เรียนรู้เรื่องการใช้ชีวิต การรู้จักคน ได้ทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าเด็กวันรุ่ยจะได้ทำ ฝึกให้เราเป็นคนมีความอดทน หนักเอาเบาสู้ได้ พูดเลยว่าเราทำงานหนักมาตอนเด็ก ๆ คือ อายุ 14-15 ถ่ายละครถึง 6 โมงเช้า บางทีไม่ได้หลับไม่ได้นอน หรือต้องมาอยู่บนรถตู้ตลอดเวลา นี่คือส่วนที่เราได้อดทนเรื่องของการทำงาน พอหลังจากที่เราเริ่มโตขึ้น เราได้นั่งทำงานออฟฟิศมันเป็นสิ่งที่มีความสุขมาก ชีวิตยุ้ยตอนที่ทำงานวงการบันเทิงโหยหาการทำงานออฟฟิศมาก เพราะเรารู้สึกว่ามันใช้ชีวิตเป็นเวลา แต่สิ่งเหล่านั้นก็สอนให้เราทำงานหนักได้คงไม่มีอะไรหนักไปกว่านี้แล้ว พอได้มาใช้ชีวิตทำงานประจำจริง ๆ มันมีความสุขมากเพราะเรามีเวลาในการทำอย่างอื่น เรารู้สึกว่านี่แหละใช่เราแล้ว ที่สำคัญวงการบันเทิงยังให้เงินเราเยอะเรียกได้ว่าอาชีพไหนก็ไม่เคยได้เงินง่ายๆเท่านี้ แต่มันก็แลกมาซึ่งความเหนื่อย คือทุกอย่างมันสอนเราทั้งหมดค่ะ”

คติในการดำเนินชีวิต

“ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะว่าพรุ่งนี้เราไม่รู้ว่าจะมีหรือเปล่า ทุกวันนี้ทุกอย่างมันดูน่ากลัวสำหรับยุ้ยมาก การดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ถึงแม้ว่าเราจะคิดบวกแล้วแต่ว่า เราก็ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง คืออย่าคิดว่ามันจะมีพรุ่งนี้ ทำทุกอย่างตอนนี้ให้มันดีที่สุด ตักตวงความสุข ณ ตอนนี้ให้เต็มที่ที่สุด เพราะว่าเวลาทุกอย่างมันสั้นมากเราก็จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่าวันพรุ่งนี้มันมีอะไรเกิดขึ้นหรือพลาดไป”

ฝากถึงแฟนๆ

“คิดถึงทุกคนนะคะ ทุกคนยังถามถึงยุ้ยมาเยอะมากทั้งทางเฟสบุ๊ค www.facebook.com/yui.pattamawan และอีกหลาย ๆ ช่องทาง ขอบคุณมาก ๆเลยนะคะตอนนี้ มันถึงวัยของเราที่มีลูกมีครอบครัว มีงานทำแล้วซึ่งโอเคให้น้องๆเขาทำไปดีกว่าน้องวัยใสๆเยอะแยะมากมาย ขอบคุณสิ่งดีๆที่มีให้กันจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ลืมขอบคุณค่ะ ”

พินิตา

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • เปิดหมดเปลือกทุกมุมของชีวิตและความรัก \'อรอนงค์ ปัญญาวงศ์\' เปิดหมดเปลือกทุกมุมของชีวิตและความรัก 'อรอนงค์ ปัญญาวงศ์'
  • \'เดอะคาสเซ็ทคอนเสิร์ต ตอน รักและคิดถึง\'รวมศิลปินดังยุค 80\'s และ 90\'s 'เดอะคาสเซ็ทคอนเสิร์ต ตอน รักและคิดถึง'รวมศิลปินดังยุค 80's และ 90's
  • ปริศนามังคุด! \'พลอย เฌอมาลย์\'โพสต์เดือด ขอ\'อย่าเดา\' พร้อมเมื่อไหร่\'จัดให้\' ปริศนามังคุด! 'พลอย เฌอมาลย์'โพสต์เดือด ขอ'อย่าเดา' พร้อมเมื่อไหร่'จัดให้'
  • \'มะปราง\'ป่วยหัวใจทะลุ เล่านาทีชีวิต\'แพนิค-ซึมเศร้า\'กำเริบบนทางด่วน 'มะปราง'ป่วยหัวใจทะลุ เล่านาทีชีวิต'แพนิค-ซึมเศร้า'กำเริบบนทางด่วน
  • สวยฉ่ำมาก! \'เลดี้ปราง\'เดินเล่นริมทะเลส่งรอยยิ้มสดใส สวยฉ่ำมาก! 'เลดี้ปราง'เดินเล่นริมทะเลส่งรอยยิ้มสดใส
  • อย่าท้อนะ! \'เสือ\'ลูกชาย\'เสก โลโซ\' ส่งข้อความให้กำลังใจพ่อ อย่าท้อนะ! 'เสือ'ลูกชาย'เสก โลโซ' ส่งข้อความให้กำลังใจพ่อ
  •  

Breaking News

‘สอวช.’เปิด 6 ปัจจัยแนะ‘มหาวิทยาลัยไทย’มุ่งสู่ความสำเร็จ รับโลกเปลี่ยน

ร้านทองแห่ทวงคดีถูกบริษัทลวงลงทุนสูญ600ล้าน

‘ชูศักดิ์’เผย‘อธิบดีดีเอสไอ’เข้าพบ รายงานภารกิจ-ความคืบหน้าคดี‘ฮั้ว สว.’

ผมไม่ออก!'อโมริม'ลั่นคุมผีต่อเว้นแฟนบอลไม่ต้องการ

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved