หากจะพูดถึงนักร้องยุคแรกๆของจังหวัดสุพรรณแล้วคงไม่มีใครไม่รู้จักนักร้องระดับตำนานก้าน แก้วสุพรรณ มีชื่อจริงว่า มงคล หอมระรื่น มีชื่อเล่นว่า แดง เป็นชาว อำเภอ สามชุก เป็นนักร้องลูกทุ่งชายเสียงดี มีน้ำเสียงหวานไพเราะ และได้ชื่อว่าเป็นนักร้องผู้เปิดตำนานนักร้องจากแดนสุพรรณ เมืองที่ผลิตนักร้องลูกทุ่งระดับตำนานประดับวงการเพลงลูกทุ่งมากมาย ก้าน แก้วสุพรรณ มีผลงานเพลงดังมากมาย แต่ที่สร้างชื่อเสียงอย่างมากให้กับเขาก็คือเพลง “ น้ำตาลก้นแก้ว”
วันนี้ขุนพลเพลงลูกทุ่งชื่อดังล้มป่วยกระทันหันจนทรุดหนักเรื่องนี้ได้สร้างความตกใจแก่บุคคลที่ได้รับรู้ถึงอาการป่วยไม่น้อย โดยเฉพาะกับบุคคลในแวดวงลูกทุ่งสัปดาห์นี้ “บันเทิงแนวหน้า” จึงขอนำจุดเริ่มต้นของ ก้าน แก้วสุพรรณ บุคคลที่ควรค่าแก่การยกย่องในวงการเพลงลูกทุ่งมาฝาก ให้หวนรำลึกถึงอดีตกว่าจะเป็น“ครูเพลงผู้ยิ่งใหญ่”ในวันนี้
บุตรบุญธรรมของหลวงพ่อ
ด้วยความที่ครอบครัวมีฐานะยากจนจึงถูกนำมาฝากเลี้ยงไว้ที่วัด และต่อมาก็ได้เป็นบุตรบุญธรรมของพระครูสุนทรานุกิจ(หลวงพ่อวัดสามชุก)ด้วยความเอ็นดูของหลวงพ่อที่เอ็นดูเราเหมือนลูกแท้ และหวังให้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนต่อในชั้นสูงๆ จึงต้องการให้มาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ โดยเข้ามาเมื่อชั้นป.4 แต่การที่จะมาอยู่นี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องบวชเป็นสามเณรก่อนในขั้นแรกเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นอายุแค่ 10 ปีเท่านั้น มันค่อนข้างเป็นเรื่องยากลำบากมาก แต่เพื่อที่จะได้เรียนต่อเลยต้อบวชเณร และระหว่างบวชก็ตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างดีไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางอะไร จนประสบความสำเร็จได้ในที่สุด โดยเรียนจบนักธรรมตรีในตอนอายุ 17 ในตอนนั้นรู้สึกภูมิใจมากๆที่ตนเองทำได้ถึงแม้จะเป็นการเรียนทางธรรมแต่มันก็ภูมิใจจริงๆ
เดินทางเข้ากรุงเทพ
หลังจากเรียนจบนักธรรมตรีก็ได้ถูกส่งตัวมาอยู่กรุงเทพฯ เพื่อสอบนักธรรมโท ตอนนั้นวัดที่มาอยู่คือ วัดปรินายก แถวๆสะพานผ่านฟ้า แต่บวชได้ไม่นานเท่าไร เพราะมีภาระคอยอยู่ ก็คือครอบครัวของเราที่ลำบากต้องหาเงินมาให้ครอบครัวใช้จ่าย เพราะเหมือนเราเป็นหัวหน้าครอบครัวมีหน้าที่เลี้ยงทุกคน แต่จริงๆแล้วเราไม่ได้รู้สึกว่ามันคือเรื่องหนักหนา คือครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตอยู่แล้ว
การตัดสินใจครั้งสำคัญ
ตอนนั้นด้วยสถานะทางครอบครัวเลยมีความจำเป็นต้องตัดสินใจสึกออกมา เพื่อหางานทำจะได้มีเงินส่งกลับไปที่บ้านซึ่งการหางานในช่วงเวลานั้นมันยากมาก เพราะเราก้อายุยังน้อย และไม่มีประสบการณ์อะไร แต่หางานอยู่สักพักก็ได้งาน คือการเป็นกระเป๋ารถเมล์ของบริษัท รสพ. โดยประจำอยู่ที่อู่ศรีนคร ซึ่งตอนแกรเราคิดว่างานที่ทำจะราบรื่น แต่มันไม่ใช่อย่างที่คิด คือจะมีแก๊งอันธพาลชอบมารังแก และดูถูกเรา ถามว่าทนไหวไหม ตอนแรกๆเราคิดว่าจะทนไหวมันเพราะถือว่าเราทำเพื่อครอบครัว แต่พอหนักๆเข้ามันก็ไม่ไหวจริงๆ จึงตัดสินใจลาออกดีกว่าแล้วกลับบ้านที่สุพรรณ คือคิดว่ายังไงซะสุพรรณก็คือบ้านของเรา คงไม่มีที่ไหนดีไปกว่าบ้านอีกแล้ว พอเอาเข้าจริงๆกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะกลับไปได้ไม่นานก็กลับเข้ากรุงเทพฯ ใหม่ ด้วยความที่อยากหาเงินได้เยอะๆ คราวนี้เลยหันมาต่อยมวยโดยตะเวนต่อยตามงานต่างๆไปทั่ว คือมีงานไหนก็ไปหมดในยุคนั้นเวลาชกมวยเสร็จก็จะมีให้ร้องเพลงประชันกันด้วย
เข้าสู่วงการเพลง
มันมาจากความบังเอิญมากกว่าเพราะเพื่อนมักยุยงไปประกวดด้วยพวกเขาเห็นว่ามีเสียงที่ดี แต่ตอนนั้นการประกวดเป็นไปแบบจำใจมากกว่า โดยส่วนตัวไม่ได้อยากเลย แล้วมีบางครั้งที่เพื่อนแอบไปลงชื่อประกวดให้โดยที่ไม่รู้มาก่อน แต่พอไปประกวดแล้วมันเหนือความคาดหมาย คือไม่คิดว่าตัวเองจะชนะ และก็มาคิดได้ว่าตะเวนประกวดเป็นอาชีพมันน่าจะดีกว่าชกมวย เพราะชกมวยมันเปลืองตัว เหนื่อย และอาจทำให้สภาพร่างกายของเราแย่ จึงตัดสินใจเดินสายประกวดแทนการชกมวยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แล้วส่วนใหญ่ไม่ว่าไปประกวดเวทีไหนก็จะได้แชมป์หมด จนไม่มีใครอยากให้ขึ้นประกวดแล้วคือถูกขอร้องว่าไม่ให้ประกวด ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันในตอนนั้น แต่โชคเหมือนเข้าข้างเพราะมีแมวมองมาทาบทามเพราะเห็นว่าเราเสียงดีถูกใจเขา เลยชักชวนให้มาลองร้องเพลงบันทึกแผ่นเสียงดู เลยตัดสินใจตกลงทำเพราะคิดว่าโอกาสไม่ได้มาหาเราบ่อย แต่สุดท้ายเราก้ต้องผิดหวัง คือในตอนนั้นแมวมองพาไปพบคุณบังเละ วงค์อาบู และคุณคำรณ สัมบุญนานนท์ แล้วเหมือนคุณบังเละกับคุณคำรณ น่าจะยังไม่พอใจผลงานของเราจึงได้รับการปฎิเสธกลับมา
เรียนร้องเพลง
บังเอิญว่าได้ทราบข่าวว่าครู ป. ชื่นประโยชน์ เปิดโรงเรียนสอนดนตรีจึงไปลองสมัครดู แต่ว่าโรงเรียนของครูป. มีกฎว่าทุกคนที่สมัครจะต้องทดสอบเสียงร้องของตัวเองด้วย ตอนนั้นรู้สึกกดดันเหมือนกันแต่คิดว่าต้องลองสักครั้ง ยังไงซะก็ไม่มีอะไรจะเสีย สำหรับคนมาสมัครถ้าเสียงผ่านถึงจะถูกเรียกตัวมาหลังจากปิดรับสมัคร ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะครูได้เรียกตัวมาเป็นนักเรียนเรียนร้องเพลง ตอนเรียนอยู่ก็ช่วยงานคครูทุกอย่างทั้งเก็บกวาด และถูบ้าน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมครูถึงให้เป็นลูกบุญธรรมจนในที่สุดก็แต่งเพลงให้เพลงหนึ่งชื่อ “ คนชาวนา “ และตั้งชื่อใหม่ให้ซึ่งคือ ก้าน แก้วสุพรรณ และก็พาไปบันทึกเสียงด้วย จากนั้นก็มีอีก 2 เพลง แต่ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก ถามว่าท้อไหมมันก็มีบ้างแต่ก็ยังคงสู้อยู่เชื่อว่าต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
เพลงที่สร้างชื่อเสียง
เพลง “ หลงกรุง ” ซึ่งเป็นเพลงของคุณต่อชัย ภู่ชมภู แต่เสียชีวิตก่อนที่จะแต่งเสร็จ ครู ป. จึงนำมาแต่งต่อ และเป็นโชคดีมากๆที่ได้มีโอกาสร่วมร้องเพลง และเป็นนักร้องของวงร่วมกับนักร้องเก่งๆ และมีชื่อเสียงมากมายอย่าง สุรพล สมบัติเจริญ , ผ่องศรี วรนุช และตอนนั้นก็มีอีกเพลงคือ แก่งคอย ตอนนตั้นมีชื่อเสียงพอควรแล้วครูก็ได้หยุดทำวง แต่ผมกับเพื่อนก็ออกมาทำวงใหม่ ใช้ชื่อว่า “ ประกายดาว “ซึ่งก็มีนักร้องร่วมมากมายคือ สุรพล สมบัติเจริญ , ผ่องศรี วรนุช , ทูล ทองใจ , และคำรณ สัมบุณนานนท์ แล้ววงก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก คือส่วนตัวไม่ได้คิดว่าจะสบความสำเร็จนะ และพอมีงานเข้ามาเยอะๆคุณสุรพล สมบัติเจริญ เลยแยกไปทำวงของตัวเอง ส่วนวงประกายดาว ก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น “ ก้าน แก้วสุพรรณ “
อาการป่วย
ช่วงแรกมีอาการปวดท้องแต่ว่าไม่เป็นอะไรมากบวกกับไม่ค่อยมีเงินรักษาเลยไม่ได้ไปหาหมอจนระยะหลังอาการทรุดหนักปวดท้องจนทนไม่ไหวจนภรรยา ต้องพาส่งโรงพยาบาลไม่เคยคิดว่าตนเองจะป่วยหนักเพราะเลิกสูบบุหรี่มาเป็น 20 ปีแล้วและเหล้าก็ไม่กินถือศีลมาตลอก แต่สุดท้ายก็เป็นมะเร็ง ตอนนี้ได้ย้ายมารักษาตัวที่ศูทย์มะเร็งแห่งชาติ พญาไทแล้ว
ฝากถึงแฟนๆ
รู้สึกดีขึ้นขอบคุณทุกคนที่รักและเป็นห่วง เพื่อนๆ พี่ๆ นักร้องที่ช่วยเหลือมาตลอด กราบหลวงพ่อวัดไร่ขิงที่ท่านให้ความช่วยเหลือ กราบแฟนเพลงทุกท่านที่เป็นห่วง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี