22 ก.พ.62 สำนักข่าว BBC ของอังกฤษ นำเสนอรายงานพิเศษเรื่อง “Singapore HIV data leak shakes a vulnerable community” ว่าด้วยการรั่วไหลของข้อมูลสุขภาพของผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ (AIDS) ในสิงคโปร์ ราว 14,000 คน ทำให้เกิดความกังวลว่าจะถูกเลือกปฏิบัติจากสังคม ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ยอมรับว่ามีการรั่วไหลของข้อมูลจริง โดยเชื่อว่าน่าจะมาจากหุ้นส่วนชาวอเมริกันที่ทำงานกับแพทย์ในประเทศ ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยได้
จอยซ์ (Joyce - นามสมมติ) หญิงที่ติดเชื้อ HIV ตั้งแต่เมื่อ 2 ทศวรรษก่อน บอกเล่ากับผู้สื่อข่าวว่า ในช่วงทศวรรษที่ 1990s (ระหว่างปี 2533 - 2542) เธอเป็นชาวต่างชาติที่แต่งงานกับสามีชาวสิงคโปร์ ต่อมามีอาการเจ็บป่วยบ่อยๆ จึงไปตรวจเลือดแล้วพบว่าผลเป็นบวก ถึงกระนั้นสามีของเธอก็ยังคงดูแลเธอเป็นอย่างดีแม้จะทราบผลดังกล่าวก็ตาม ประกอบกับการที่เธอมีสถานะเป็นผู้พำนักถาวรในสิงคโปร์ ทำให้ได้รับสวัสดิการสนับสนุนจากภาครัฐ อย่างไรก็ตามภายหลังข้อมูลผู้ติดเชื้อรั่วไหล เธอกังวลว่าสามีอาจถูกกดดันให้ออกจากงาน
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ได้จัดตั้งฐานข้อมูลผู้ติดเชื้อ HIV มาตั้งแต่ปี 2528 เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเอดส์ โดยรัฐบาลได้กล่าวหา มิคกี้ ฟาเรรา - โบรเชส (Mikhy Farrera-Brochez) ชายชาวอเมริกันที่เข้ามาอาศัยในสิงคโปร์เมื่อปี 2551 และเป็นหุ้นส่วนกับ นพ.เล่อเต็กเซียง (Ler Teck Siang) แพทย์ชาวสิงคโปร์ ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ควรจะเป็นความลับได้
ทั้งนี้ มิคกี้เองก็เป็นผู้ติดเชื้อ HIV ทำให้ไม่สามารถทำงานในสิงคโปร์ได้อย่างถูกกฎหมาย โดยในปี 2560 มีการพบว่าเขาใช้ตัวอย่างเลือดของ นพ.เล่อ ในการตรวจหาเชื้อ HIV ถือเป็นการแจ้งข้อมูลอันเป็รเท็จ จึงถูกศาลสิงคโปร์ตัดสินจำคุกก่อนถูกส่งตัวกลับบ้านเกิดที่สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันคดีอยู่ในชั้นอุทธรณ์ ล่าสุดมีรายงานว่า มิคกี้ที่เดินทางไปให้การต่อศาลมลรัฐเคนตักกี้ (Kentucky) ในคดีบุกรุกบ้านของมารดาตนเอง ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อมูลผู้ติดเชื้อ HIV ในสิงคโปร์ที่รั่วไหลดังกล่าว
นอกจากนี้ มิคกี้ยังโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊คส่วนตัว ระบุว่ามีคนอื่นที่อยู่เบื้องหลังการรั่วไหลของข้อมูลในครั้งนี้ และอ้างว่าถูกทำร้ายร่างกายขณะอยู่ในความควบคุมของตำรวจ อีกทั้งเมื่อถูกจำคุกยังไม่ได้รับยา รวมถึงกล่าวหารัฐบาลสิงคโปร์ด้วยว่าใช้ฐานข้อมูลผู้ติดเชื้อ HIV สอดส่องผู้มีพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน เนื่องจากในสิงคโปร์นั้นการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่ต่อมาระบบของเฟซบุ๊คได้ลบข้อความของมิคกี้ออกไป ขณะที่ภาครัฐของสิงคโปร์กล่าวว่าสิ่งที่มิคกี้อ้างนั้นไม่เป็นความจริง
กานคิมหยง (Gan Kim Yong) รัฐมนตรีสาธารณสุขสิงคโปร์ กล่าวว่ารัฐบาลสิงคโปร์กำลังประสานกับรัฐบาลสหรัฐในคดีนี้ และจะไม่ละความพยายามในการนำตัวมิคกี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้กฎหมายห้ามชาวต่างชาติที่ติดเชื้อ HIV ทำงานในสิงคโปร์ เว้นแต่เป็นชาวต่างชาติที่ได้สิทธิเป็นผู้พำนักถาวรนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเนื่องจากเป็นการเลือกปฏิบัติในยุคที่เชื้อไวรัสซึ่งก่อให้เกิดโรคเอดส์นั้นสามารถควบคุมได้ด้วยยาต้าน
อวิน ตัน (Avin Tan) ชาวสิงคโปร์คนแรกที่กล้าเปิดเผยตัวว่าติดเชื้อ HIV ต่อสาธารณะ และปัจจุบันเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของผู้ป่วยเอดส์ กล่าวว่า ชีวิตที่ถูกตีตราโดยสังคมนั้นเป็นเรื่องท้าทาย โดยหลังจากมีข่าวข้อมูลผู้ติดเชื้อรั่วไหลก็มีผู้คนโทรศัพท์มาแสดงความกังวลจำนวนมาก ทั้งความกลัวที่จะไม่มีงานทำ ไม่มีบริษัทประกันยอมรับทำประกันให้ เพื่อนฝูงตีตัวออกห่าง ถูกขู่กรรโชกทรัพย์ (BlackMail) และความกลัวอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งสิ่งที่ทำให้ตนไม่พอใจที่สุด คือเมื่อทราบว่ากระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์นั้นรู้เรื่องที่มิคกี้เข้าถึงข้อมูลตั้งแต่ปี 2559
รายงานของ BBC ยังกล่าวอีกว่า สำหรับประเทศสิงคโปร์ที่ภาคภูมิใจในประสิทธิภาพการบริหารจัดการของภาครัฐ การรั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นถือเป็นเรื่องน่าอับอายอย่างมาก ซึ่งกรณีข้อมูลผู้ติดเชื้อ HIV 14,000 คนรั่วไหลนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ย้อนไปเมื่อปี 2561 เคยเกิดเหตุข้อมูลด้านสุขภาพของชาวสิงคโปร์ 1.5 ล้านคน รั่วไหลมาแล้ว ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงมาตรการรักษาความปลอดภัย
พญ.เหลียวหยีซิน (Leo Yee Sin) แพทย์ชาวสิงคโปร์ที่ทำงานด้านเอดส์มาตั้งแต่ทศวรรษ 1980s (ระหว่างปี 2523 - 2532) อันเป็นช่วงแรกๆ ที่สิงคโปร์พบการแพร่ระบาด เธอกล่าวว่าในทางหนึ่งแม้มีการวางระบบป้องกันไม่ให้บุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ติดเชื้อ HIV แต่ปัญหาที่สำคัญกว่าคือการที่ผู้ติดเชื้อต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เพราะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.bbc.com/news/world-asia-47288219
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี