23 มี.ค. 2562 เว็บไซต์ นสพ. Nikkei Asian Review ของญี่ปุ่น นำเสนอรายงานพิเศษ "Thailand's electioneering gives off a whiff of another coup" เนื้อหาว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ของประเทศไทย ที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 มี.ค. 2562 ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างฝ่ายทหาร นำโดย พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ (Apirat Kongsompong) ผู้บัญชาการทหารบก กับบรรดาพรรคการเมืองที่ประกาศตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ทำให้มีข้อกังวลว่าอาจนำไปสู่การรัฐประหารอีกครั้ง โดยเฉพาะกรณีที่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (Prayuth Chan-ocha) ผู้นำคณะรัฐประหารเมื่อปี 2557 ในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลทหาร กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบนั้นไม่ได้รับความนิยมจากประชาชน
รายงานของสื่อแดนอาทิตย์อุทัย ระบุว่า ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือน มี.ค. 2562 พล.อ.อภิรัชต์ นายทหารผู้มีบุคลิกแบบ "สายเหยี่ยว" (Hawkish) นำกำลังพลระดับสูงราว 700 คน ทำพิธีกล่าวคำปฏิญาณตน ณ กองบัญชาการกองทัพบก ประกาศจุดยืนว่ากองทัพจะสนับสนุนรัฐบาลที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น ซึ่งอาจตีความได้ว่า พล.อ.อภิรัชต์ กำลังส่งสารบางอย่างถึงประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ทำให้พรรคการเมืองที่ประกาศตัวว่าจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ นำท่าทีดังกล่าวไปขยายผล ไม่เฉพาะพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น ยังมีพรรครวมพลังประชาชาติไทยที่แสดงจุดยืนสนับสนุนผู้นำ คสช. ให้เป็นนายกฯ อีกสมัยเช่นกัน
อาทิ เบญญา นันทขว้าง (Benya Nandakwang) ผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมพลังประชาชาติไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า "ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยกงเต๊กชนะเลือกตั้ง ที่สุดก็จะปฏิวัติอีกรอบ" เช่นเดียวกับผู้แกนนำพรรคคนสำคัญอย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ (Suthep Thaugsuban) ที่ขู่ว่า "ถ้าเลือกพรรคเพื่อ... เจอกันราชดำเนิน" หมายถึงอาจมีการชุมนุมประท้วงอีกรอบ ซึ่งเมื่อ 5 ปีก่อน สุเทพคือผู้นำการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เพื่อขับไล่รัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (Yingluck Shinawatra) จนจบลงด้วยการรัฐประหารโดยกองทัพเมื่อ 22 พ.ค. 2557
สุณัย ผาสุข (Sunai Phasuk) ที่ปรึกษาประจำประเทศไทยของฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) กล่าวถึงท่าทีของ พล.อ.อภิรัชต์ ว่าราวกับเป็นการข่มขู่ และกังวลถึงการแทรกแซงของกองทัพหากผลการเลือกตั้งไม่เป็นไปอย่างที่ทหารและพันธมิตรต้องการ ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากฝ่ายการเมืองให้ปฏิรูปกองทัพ อาทิ ตัดลดงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ที่ปีล่าสุดอยู่ที่ 2.27 แสนล้านบาท มีนายทหารระดับนายพล 1,750 นาย นำกำลังพล 350,000 นาย มากกว่ากองทัพสหรัฐอเมริกา ที่มีนายพลเพียง 880 นาย อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อ 17 มี.ค. 2562 มีผู้มาใช้สิทธิ์ถึงร้อยละ 87 ของผู้ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าทั้งหมด 2.6 ล้านคน บ่งบอกถึงการต่อต้านระบบการเมืองที่ออกแบบโดยฝ่ายทหาร
พอล แชมเบอร์ (Paul Chambers) ที่ปรึกษาพิเศษด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิทยาลัยประชาคมอาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร มองว่า พล.อ.อภิรัชต์ อาจทำรัฐประหารอีกครั้งหากมีการชุมนุมคัดค้านผลการเลือกตั้งเพื่อระงับเหตุความไม่สงบ แต่อีกด้านคือการรักษาสถานะพิเศษของกองทัพไว้ด้วย แน่นอนว่าหากมีการรัฐประหารขึ้นจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ พ้นจากอำนาจ แล้ว พล.อ.อภิรัชต์ จะกลายเป็น พล.อ.ประยุทธ์ คนใหม่แทน
เมื่อหันไปดูทางฝ่ายการเมือง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (Seripisut Temiyawet) ผู้ก่อตั้งพรรคเสรีรวมไทย ประกาศว่าหากตนมีอำนาจจะย้ายหน่วยทหารออกจากเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ และปฏิรูประบบการเกณฑ์ทหาร พร้อมกับย้ำว่ากองทัพคือปัญหาของสังคมไทยที่ต้องถูกแก้ไข ซึ่งสอดคล้องกับพรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมสูงสุด และเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลเลือกตั้งครั้งล่าสุดก่อนรัฐประหาร 2557 อย่างพรรคเพื่อไทย นอกจากนี้ยังมีพรรคการเมืองเก่าแก่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคที่เพิ่งก่อตั้งอย่างพรรคอนาคตใหม่ ที่แสดงท่าทีคล้ายกัน
เกรกอรี วินเซนต์ เรย์มอนด์ (Gregory Vincent Raymond) นักวิชาการชาวออสเตรเลีย ผู้เขียนหนังสือ "Thai Military Power : A Culture of Strategic Accommodation" มองว่า ในสถานการณ์ที่การเมืองมีความแตกแยกเช่นนี้ พล.อ.อภิรัชต์ คงไม่พร้อมจะรับฟังข้อเสนอปฏิรูปหรือลดงบประมาณกองทัพ เพราะมีความไม่ไว้วางใจกันระหว่างนักการเมืองกับทหาร โดยเฉพาะหากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ความรู้สึกดังกล่าวน่าจะยิ่งรุนแรงขึ้น
รายงานของ Nikkei Asian Review ทิ้งท้ายว่า ถึงกระนั้นชะตากรรมของกองทัพไทยก็ขึ้นอยู่กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งราว 50 ล้านคนทั่วประเทศ โดย ลีลาวดี วัชโรบล (Leelavadee Vajropala) ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. แบบแบ่งเขตในกรุงเทพฯ เขต 1 ประกอบด้วย เขตพระนคร เขตป้อมปราบ เขตสัมพันธ์วงศ์ และเขตดุสิต (ยกเว้นแขวงถนนนครไชยศรี) จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีหน่วยทหารตั้งอยู่หลายแห่ง ระบุว่า ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนจำนวนมากอาจบอกถึงอารมณ์ของประชาชนว่าอยู่ตรงข้ามกับเผด็จการและกองทัพ โดยเฉพาะหากผู้ใช้สิทธิ์ร้อยละ 70 - 80 เลือกพรรคการเมืองที่ประกาศจุดยืนต่อต้านเผด็จการ ก็จะเป็นเรื่องยากหากกองทัพคิดจะทำรัฐประหารอีกครั้ง
ขอบคุณเรื่องจาก : https://asia.nikkei.com/Politics/Thai-election/Thailand-s-electioneering-gives-off-a-whiff-of-another-coup
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี