9 กันยายน 2562 เว็บไซต์ นสพ. South China Morning Post ของฮ่องกง เสนอรายงานพิเศษ “School life in Thailand: abuse, torture, hazing, deadly gang wars are rife” เมื่อ 8 ก.ย. 2562 ตามเวลาท้องถิ่น ว่าด้วยวิถีชีวิตนักเรียนอาชีวะของไทย ที่เมื่อก้าวเท้าเข้าไปแล้วจะต้องเจอธรรมเนียมตั้งแต่การรับน้องแบบรุนแรงโดยรุ่นพี่ ไปจนถึงการทะเลาะวิวาทตีรันฟันแทงกับสถาบันอาชีวะอื่นๆ ที่เป็นคู่อริมาช้านาน
Kollawach Doklumjiak ปัจจุบันกำลังเรียนด้านรัฐศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เล่าประสบการณ์ชีวิตช่วงที่เป็น “เด็กช่าง” ว่าระหว่างเดินทางจากโรงเรียน-บ้าน เป็นเรื่องที่ต้องทำใจหากจะเจอนักศึกษาจากสถาบันอาชีวะอื่นๆ เข้ามาทำร้าย ครั้งหนึ่งเขาต้องโดดลงคลองน้ำเน่าหนีเอาตัวรอดเพื่อไปหาที่หลบภัยในวัด ชายหนุ่มรายนี้บอกว่า ดูเหมือนวัดจะเป็นสถานที่ที่ได้รับการละเว้นจากนักเรียนนักเลงอาชีวะจากการมีเรื่องมีราว แต่ที่อื่นๆ ในกรุงเทพฯ ชาวเด็กช่างทั้งหลายพร้อมจะปะทะกันเสมอด้วยมีดสั้น มีดยาว ปืนพกและระเบิดทำเอง
“แม้แต่ใกล้ๆ สถานีตำรวจก็ใช่ว่าจะปลอดภัย หากนักเรียนนักเลงมีจำนวนมากกว่าเจ้าหน้าที่” อดีตเด็กช่างรายนี้ระบุ สำหรับสงครามระหว่างกลุ่มเด็กอาชีวะสถาบันต่างๆ เป้าหมายอยู่ที่การจัดการกับ นศ. สถาบันคู่อริ และชิงสัญลักษณ์ของสถาบันนั้นมา เช่น ตราสถาบันบนเสื้อช็อป หัวเข็มขัด ขณะที่ Peng ปัจจุบันอายุ 20 ปี เล่าว่า สมัยเรียนอาชีวะเคยยิงคู่อริเป็นเด็กจากสถาบันดังย่านฝั่งธนบุรี (ฟากตะวันตกของกรุงเทพฯ) Peng เปรียบเทียบสงครามระหว่างนักเรียนอาชีวะเหมือนภาพยนตร์ “เอเลี่ยนปะทะพรีเดเตอร์” ที่เด็กช่างจะต้องทำใจกับการเป็นทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่า
กลับมาที่ Kollawach เขาเปิดเผยว่า เกิดและเติบโตในชุมชนแออัด จึงพบเห็นทั้งการใช้ความรุนแรงรวมถึงยาเสพติดจนชาชิน จึงไม่ลังเลที่จะใช้กำลังหากถึงคราวจำเป็น และเมื่อเข้าเรียนอาชีวะ ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมนักเรียนนักเลงไปด้วย “นักศึกษาคนอื่นๆ จะบอกให้คุณต่อสู้เพื่อสถาบันของคุณ” Kollawach กล่าว แต่เขาก็ว่าต่อไป “แต่เมื่อคุณรับแนวคิดนี้มา คุณก็ต้องสู้เพื่อปกป้องตัวคุณเองด้วย” ชายหนุ่มยังเล่าอีกว่าเขาเคยถูกยิงด้วยปืนลูกซองขณะจับกลุ่มอยู่กับเพื่อนๆ เขาโชคดีที่กระสุนถูกที่ใต้รักแร้ ขณะที่เพื่อนคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บที่สมอง
Kollawach เล่าต่อไปว่า เขาเคยมีผ่านเรื่องผิดกฎหมายครอบครองอาวุธและอื่น เคยเปลี่ยนที่เรียนหลายครั้งเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย และวันนี้ก็ยังไม่อยากเข้าใกล้สถาบันเก่าแห่งหนึ่งที่เคยถูกไล่ออกเพราะพกพาอาวุธมีด แต่เขายังบอกว่า แม้แต่อาวุธปืนก็ยังสามารถหามาใช้ได้ ทั้งด้วยการทำเองซึ่งก็ใช้เวลาไม่นาน เช่น “ปืนปากกา” ที่ทำขึ้นได้จากท่อเหล็กในห้องปฏิบัติการของสถาบัน หรือดัดแปลงปืนอัดลม (BB Gun) ให้ใช้กระสุนจริง ไปจนถึงปืนพกจริงๆ ทั้งลูกโม่และแม็กกาซีน
Rattapoom Kotchapong อดีตครูที่ผันตัวมาเป็นติวเตอร์ กล่าวว่า หากดูจากภูมิหลัง วัยรุ่นเหล่านี้มีที่มาจากกลุ่มด้อยโอกาส “การเข้าร่วมกลุ่มแก๊งต่างๆ ทำให้วัยรุ่นเหล่านี้รู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย” หลายคนรู้สึกประทับใจในสิ่งที่ตนเองทำ อนึ่ง รายงานของสื่อฮ่องกง ยังระบุว่า การทะเลาะวิวาทถึงขั้นใช้อาวุธปืนของนักเรียนอาชีวะชาวไทยนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาอาชญากรรมด้วยอาวุธปืนในสังคมไทย ดินแดนที่เหล่าผู้คนซึ่งมีความสุขพร้อมจะชักปืนออกมายิงกันด้วยการยั่วยุเพียงเล็กๆ น้อยๆ ทั้งนี้ไทยมีสถิติอาชญากรรมจากอาวุธปืนสูงที่สุดในเอเชีย
แหล่งข่าวในแวดวงสถาบันอาชีวะรายหนึ่ง เล่าว่า บางสถาบันไม่ต่างอะไรจากกองกำลังติดอาวุธขนาดย่อมๆ บางแห่งมี “คลังแสง” เก็บอาวุธที่สะสมกันมาหลายปี ส่วน Kollawach กล่าวเสริมว่า เด็กอาชีวะเมืองไทยนั้นมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ นี่จึงเป็นปัญหาใหญ่ อนึ่ง รายงานข่าวยังกล่าวถึง “ประเพณีรับน้อง” ซึ่งไม่ใช่เฉพาะสถาบันอาชีวะเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงโรงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยด้วย
ประเพณีการรับน้องนักเรียน-นักศึกษาในสังคมไทย อิงกับหลักคิดแบบ “โซตัส” (Seniority, Order, Tradition, Unity and Spirit) ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมที่ไม่เป็นอันตราย แต่พิธีกรรมเริ่มต้นบางอย่างคือการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และปลูกฝังค่านิยมความรุนแรง Keerati Panmanee ผู้เปิดหัวข้อรณรงค์ผ่านสื่อออนไลน์เพื่อต่อต้านหลักโซตัส กล่าวว่า เป้าหมายของการรับน้องคือการฝึกวินัย แต่บ่อยครั้งใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะการส่งเสริมวัฒนธรรมอำนาจนิยม ที่ผู้มีอำนาจกว่า ตัวใหญ่กว่าสามารถรังแกคนอื่นได้
“เราอาศัยอยู่ในสังคมที่หมกมุ่นอยู่กับลำดับชั้นและความอาวุโส” Keerati ซึ่งเป็นหัวหอกในการทำเพจ “Anti-SOTUS” กล่าว โดยครูบาอาจารย์มักจะทำเป็นมองไม่เห็น ในขณะที่นักเรียน-นักศึกษาจำนวนมากเห็นว่าโซตัสคือสิ่งที่ดี เพราะเป็นการสอนเรื่องการเคารพและอ่อนน้อมถ่อมตน สำหรับประเทศไทย ระบบการศึกษาให้ความสำคัญกับความสอดคล้องและความเคารพ มากกว่าการเป็นปัจเจกและเสรีภาพ
รายงานของสื่อฮ่องกง ระบุถึงประสบการณ์ที่ไม่ดีของนักศึกษาหลายคนที่ผ่านระบบรับน้อง เช่น การถูกกดดันให้ร้องเพลงประจำสถาบันติดต่อกันหลายชั่วโมงหลังเลิกเรียน บางครั้งเมื่อมีการตั้งค่ายพักแรม ก็จะต้องเผชิญกิจกรรมที่ใช้ร่างกายอย่างทรหด พร้อมเสียงกดดัน “ที่นี่ไม่ต้องการคนอ่อนแอ ถ้าใครไม่ไหวก็จงลาออกไป” เป็นการเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า บางกิจกรรมก็ดูน่าอับอาย เช่น นักศึกษาหญิงต้องจูบกับศิวลิงค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของไทยที่เป็นรูปอวัยวะเพศชาย ส่วนนักศึกษาชายอาจถูกเทียนหยดบริเวณอวัยวะเพศ
Peerada Nuruk นักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคตะวันออกของไทย กล่าวว่า แน่นอนแต่ละคนสามารถเลือกได้ว่าจะไม่เข้าร่วมกิจกรรม แต่ก็ต้องเผชิญแรงกดดันที่ตามมา เช่น ถูกคนอื่นๆ พูดจาหรือแสดงท่าทางดูหมิ่นเหยียดหยาม หรือไม่พูดคุยด้วยเลย ด้าน Rattapoom กล่าวเสริมว่า เมื่อผ่านพิธีกรรมรับน้อง นักศึกษาจำนวนมากที่เคยตกเป็นเหยื่อกลับกลายเป็นยอมรับมันอย่างเต็มที่
Panuwat Songsawatchai นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนและนักการเมืองแนวเสรีนิยม กล่าวว่า แม้วันนี้จะไม่ได้เห็นนักศึกษาใส่ชุดแปลกๆ ในที่สาธารณะ แต่พวกเขาถูกลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในรูปแบบอื่นๆ และพิธีการรับน้องยังมีอยู่แบบลับๆ ทั้งนี้หลักคิดแบบโซตัสไม่ได้มีอยู่เฉพาะในระบบการศึกษา แต่ฝังรากลึกไปกว่านั้น เช่น เมื่อเกิดมาเป็นวัยเด็กจะถูกสั่งสอนให้เชื่อฟังพ่อแม่ ครูบาอาจารย์และผู้อาวุโส ไม่ควรตั้งคำถามหรือคิดอะไรเอง นักศึกษาหลายคนจึงก้มหน้าอยู่กับสิ่งที่ถูกบอกถูกสอนโดยไม่พูดอะไร
ปิดท้ายด้วยความเห็นของ Kollawach ที่เคยผ่านประเพณีรับน้องในแบบเด็กอาชีวะมาแล้วหลายครั้ง และเคยได้รับของที่ระลึกจากรุ่นพี่ จนวันนี้ก็ยังเก็บสิ่งของเหล่านั้นไว้อยู่ กล่าวสั้นๆ ว่า “พิธีกรรมแบบนี้มันควรจะจบลงได้แล้ว” มันไม่ควรจะมีต่อไปอีก!!!
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.scmp.com/lifestyle/family-relationships/article/3025776/school-life-thailand-abuse-torture-hazing-deadly
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี