23 ก.ย. 2562 สำนักข่าวอัลจาซีราของกาตาร์ เสนอข่าว “Cambodia's lifeline threatened as Mekong recedes to historic low” ว่าด้วยคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission) เปิดเผยว่าระดับน้ำในแม่น้ำโขงช่วงที่ไหลผ่านประเทศกัมพูชาลดต่ำลงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกในประวัติศาสตร์ เมื่อเดือน ก.ค. 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งแม่น้ำสายนี้ไหลผ่าน 5 ประเทศคือเมียนมา จีน ไทย ลาว กัมพูชา ก่อนไปออกทะเลจีนใต้ที่ประเทศเวียดนาม
สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เคยเตือนว่า กัมพูชาเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงจากภาวะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Change) เนื่องจากปรับตัวได้ช้า โดย นิค เบเรสฟอร์ด (Nick Beresford) ผู้แทน UNDP ประจำประเทศกัมพูชา กล่าวว่า เกษตรกรชาวกัมพูชายังฝากชีวิตไว้กับปริมาณฝนเป็นหลัก และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ก็ยังไม่ยืดหยุ่นเพียงพอ ทำให้หลายครัวเรือนอาจไม่สามารถรับมือปัญหาจากสภาพอากาศอย่างภัยแล้งหรือน้ำท่วม
เบเรสฟอร์ด ระบุว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานของแรงงานทั้งในภาคเกษตร อุตสาหกรรมและการก่อสร้าง ทั้งนี้รัฐบาลกัมพูชารับรองแผนยุทธศาสตร์ 10 ปีว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ตั้งแต่ปี 2556 โดยตั้งงบประมาณไว้ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6.1 พันล้านบาท) สำหรับแก้ปัญหานี้ ทั้งนี้งบประมาณถูกใช้ไปเพื่อการปรับตัว เช่น การพัฒนาระบบชลประทาน ถนนที่รับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง การเกษตร น้ำสะอาดและการสุขาภิบาล
ไบรอัน อีย์เลอร์ (Brian Eyler) ผู้เขียนหนังสือ “Last Days of the Mighty Mekong” และหัวหน้าโครงการ “Stimson Center's Mekong Policy Project” ซึ่งสังเกตการณ์ความเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขง กล่าวถึงเขื่อนกว่า 100 แห่งที่สร้างตลอดแนวแม่น้ำโขงรวมถึงแม่น้ำที่เป็นสาขา ว่าเขื่อนเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการอพยพของสัตว์น้ำและการไหลของตะกอนดินอันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเกษตร
เมื่อประกอบกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำให้ “โตนเลสาบ (Tonle Sap)” ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ชาวกัมพูชาพึ่งพาการจับสัตว์น้ำ ซึ่งรับน้ำจากแม่น้ำโขงมีปริมาณน้ำน้อยลงด้วย โดยร้อยละ 70 ของแหล่งโปรตีนที่ชาวกัมพูชาบริโภคมาจากที่นี่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปย่อมกระทบต่อระบบนิเวศ และรวมถึงความมั่นคงทางอาหารของชาวกัมพูชา อีย์เลอร์ ยังกล่าวชื่นชมรัฐบาลกัมพูชาที่พยายามหันไปส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์แทนการสร้างเขื่อนเพิ่ม แต่ก็เสนอแนะว่าควรส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการเกษตรเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งโปรตีนด้วย
รายงานของสื่อกาตาร์ ยังกล่าวถึงคนเชื้อสายเวียดนามที่ถูกรัฐบาลกัมพูชาเพิกถอนสถานะบุคคลในปี 2560 จึงไม่สามารถซื้อที่ดินในกัมพูชาได้อย่างถูกกฎหมาย ที่ผ่านมาคนเหล่านี้ดำรงชีวิตโดยพึ่งพาการจับสัตว์น้ำในโตนเลสาบ โดย เหมา (Mao) ชาวหมู่บ้าน “Kampong Chhnang” อันเป็นหมู่บ้านลอยน้ำ เล่าว่า ไม่ว่าระดับน้ำในโตนเลสาบจะสูงหรือต่ำ งานของคนที่นี่คือการจับปลาเสมอ แม้จะมีชาวบ้านหลายคนเป็นช่างหรือเจ้าของร้านค้าก็ตาม เหมากล่าวอีกว่า ปีนี้ระดับน้ำลดต่ำผิดปกติและฝนก็มาช้า พร้อมกับชี้ให้ดูขอบฝั่งที่สูง 5 เมตร ว่าระดับน้ำเคยสูงถึงที่นั่น
อีกด้านหนึ่ง ซัน มาลา (Sun Mala) นักเคลื่อนไหวชาวกัมพูชาผู้เคยถูกจับกุมในปี 2558 ขณะประท้วงคัดค้านโครงการขุดลอกสันทราย กล่าวว่า ตนไม่เชื่อว่าผู้มีอำนาจในกัมพูชาจะจริงใจกับเรื่องนี้ เนื่องจากนักการเมืองและนักธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิด มักเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การขุดลอกสันทรายหรือการตัดไม้อย่างผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ยังเป็น “โชคร้าย” ของชาวกัมพูชา เพราะที่ตั้งของประเทศอยู่ปลายสุดของแม่น้ำ ในขณะที่ประเทศต้นน้ำอย่างจีนและไทยต่างมีเขื่อนกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ในช่วงเดียวกันกัมพูชาไม่มีน้ำเพียงพอที่จะใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า ส่วนรัฐบาลก็ไม่มีแผนอื่นๆ ทดแทนแหล่งโปรตีนที่หายไป นอกจากเอาแต่บอกว่าถ้าประชาชนไม่สามารถจับปลาได้ก็ให้หันไปเลี้ยงหมู-ไก่แทน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนยากจนจะเข้าถึงได้
มาลา กล่าวอีกว่า ตนกังวลเรื่องความแห้งแล้งของโตนเลสาบ เพราะจะส่งผลต่อการได้รับสารอาหารประเภทโปรตีนของชาวกัมพูชา อย่างไรก็ตามยังคาดหวังในคนหนุ่ม-สาวของประเทศ ที่มีความตื่นตัวเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แน่นอนมันยากที่จะจินตนาการ แต่ก็ยังอยากเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของประชาชนจะช่วยหยุดกิจกรรมการทำลายทรัพยากรธรรมชาติได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี