'ล็อกดาวน์'สกัด'โควิด'ทำคนทั่วโลกเครียดตกงาน ชี้หาเช้ากินค่ำอ่วมสุด-ส่อเกิดเหตุไม่สงบ

'ล็อกดาวน์'สกัด'โควิด'ทำคนทั่วโลกเครียดตกงาน ชี้หาเช้ากินค่ำอ่วมสุด-ส่อเกิดเหตุไม่สงบ

วันจันทร์ ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2563, 20.42 น.

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2563 เว็บไซต์ นสพ.The Washington Post สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานพิเศษ “Stirrings of unrest around the world could portend turmoil as economies collapse” ระบุว่า มาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) หยุดกิจกรรมต่างๆ ของผู้คนให้เหลือน้อยที่สุดไปจนถึงขั้นบังคับให้อยู่แต่ในบ้าน เพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับประชากรกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และอาจนำไปสู่ความรุนแรงและไม่สงบในสังคม

โดยในช่วงเวลาเร็วๆ นี้ หลายประเทศในโลกมีการชุมนุมประท้วงมาตรการล็อกดาวน์ เช่น ประเทศเลบานอน ผู้คนออกมาเดินขบวนทั้งที่กรุงเบรุตและเมืองทริโปลี ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมาก่อนวิกฤติโควิด-19 แล้ว ขณะที่ประเทศอิรัก แม้จะมีการประกาศเคอร์ฟิว แต่ก็มีการประท้วงเกิดขึ้นทั้งที่เมืองนาซิริยาห์ (Nasiriyah) และย่านซาดร์ ซิตี้ (Sadr City) ชานกรุงแบกแดด รวมถึงล่าสุดที่ประเทศเคนยา เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2563 มีประชาชนที่ฝ่าฝืนมาตรการเคอร์ฟิวเสียชีวิตจากการปราบปรามของตำรวจไปหลายราย


ฮุสแซน ฟาเคอร์ (Hussein Fakher) ชายวัย 20 ปี อาชีพขับรถสามล้อรับจ้างในกรุงแบกแดด เมืองหลวงของอิรัก กล่าวว่า แต่เดิมตนมีรายได้ไม่ถึง 20 เหรียญสหรัฐ หรือราว 600 บาทต่อวัน แต่เมื่อตลาดในกรุงแบกแดดถูกสั่งปิด วันนี้ตนยอมแม้กระทั่งต่อสู้กับตำรวจที่พยายามเรียกปรับฐานละเมิดมาตรการเคอร์ฟิว โดยตั้งคำถามว่า จะให้ตนดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร ให้เป็นขอทานหรือเป็นขโมยหรือ วันนี้ตนอยากติดเชื้อโควิด-19 ตายไปก่อนที่จะเห็นภรรยากับลูกอดตายเสียด้วยซ้ำไป

รายงานข่าวกล่าวต่อไปโดยอ้างคำเตือนจาก อันโตนิโอ กูเตเรส (Antonio Guterres) เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ระบุว่า โรคระบาดครั้งใหญ่สามารถนำไปสู่ภัยคุกคามในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ขณะที่ข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะถดถอยครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 100 ปี ก็สุ่มเสี่ยงนำไปสู่ความไม่สงบสุขในสังคมและความรุนแรง

ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแม้แต่กับประเทศร่ำรวยอย่างสหรัฐฯ เมื่อจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นหลายล้านคน ชาวอเมริกันในหลายรัฐ อาทิ มิชิแกน มินนิโซตา เวอร์จิเนีย ได้ออกมาประท้วงมาตรการล็อกดาวน์ที่ประกาศโดยผู้ว่าการรัฐ เช่นเดียวกับที่ประเทศเยอรมนี ศาลมีคำวินิจฉัยให้การประท้วงต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ในเมืองต่างๆ สามารถดำเนินการได้ รวมถึงประเทศอิตาลี มาตรการล็อกดาวน์ที่บังคับใช้ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 นำไปสู่การที่ตำรวจทางภาคใต้ซึ่งประชาชนยากจนกว่าภาคเหนือ ต้องระดมกำลังกันปกป้องซูเปอร์มาร์เก็ตไม่ให้ถูกปล้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศยากจนนั้นผลกระทบย่อมหนักกว่าเพราะรัฐบาลไม่สามารถอุดหนุนประชาชนที่ว่างงานได้อย่างเพียงพอ ศ.คาเทีย บาติสตา (Prof.Catia Batista) นักเศรษฐศาสตร์จาก Lisbon’s Nova University ประเทศโปรตุเกส กล่าวว่า ประชากรราว 2 พันล้านคนทั่วโลกเป็นมีรายได้แบบหาเช้ากินค่ำ ดังนั้นการไม่มีงานคือไม่มีเงินและนั่นหมายถึงการไม่มีอาหารรับประทาน เมื่อท้องหิวสุดท้ายก็จะตอบสนองด้วยการก่อความไม่สงบ

ในทวีปแอฟริกา หลายประเทศได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่นกัน แม้จะมีรายงานผู้ติดเชื้อน้อยแต่สาเหตุคาดว่ามาจากไม่มีศักยภาพในการตรวจคัดกรองได้อย่างกว้างขวาง และนั่นนำไปสู่คำถามว่าทำไมรัฐบาลจึงไม่อนุญาตให้ประชาชนไปทำงานตามปกติทั้งที่ดูเหมือนยังไม่มีภัยคุกคามต่อชีวิต ขณะที่การศึกษาของหน่วยงาน World Institute for Development Economics Research ในสังกัดสหประชาชาติ ชี้ว่า มาตรการจำกัดต่างๆ จะทำให้ประชากรโลก 5 แสนคน กลายเป็นคนยากจนอย่างที่สุด (absolute poverty)

ในภูมิภาคตะวันออกกลาง หลังการประท้วงอาหรับสปริงเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน วันนี้ความขัดแย้งในแต่ละประเทศก็ยังไม่จบสิ้น และแม้การประท้วงจะแผ่วลงจากข้อจำกัดของรัฐบาลในการรับมือไวรัสโควิด-19 แต่ความสงบนั้นไม่ยั่งยืน เมื่อผู้คนที่สิ้นหวังในชีวิตได้แสดงออกบางอย่าง เช่น ที่ประเทศเลบานอน คนขับแท็กซี่รายหนึ่งประท้วงด้วยการจุดไฟเผารถของตนเองหลังถูกตำรวจจับปรับฐานฝ่าฝืนล็อกดาวน์ นอกจากนี้ยังมีกรณีผุ้ลี้ภัยชาวซีเรียจุดไฟเผาตัวตายเพราะไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวตนเองได้ ส่วนที่ประเทศตูนิเซียก็มีรายงานคนเผาตัวตายเช่นกัน

ศ.ฟาวาซ เจอร์เกส (Prof.Fawaz Gerges) นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ London School of Economics ประเทศอังกฤษ ให้ความเห็นว่า ความไม่สงบในโลกอาหรับรอบต่อไปอาจรุนแรงและน่าเกลียดกว่าการประท้วงที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแสวงหาการปฎิรุปการเมือง สิ่งที่ตนกลัวคือการที่สังคมระเบิดออก ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องของประชาธิปไตย แต่เป็นอันตรายที่เกิดจากความต่ำต้อย ยากจนและอดอยาก

อาลี ฟาตอลลาห์-เนจัด (Ali Fathollah-Nejad) นักวิชาการจากองค์กร Brookings Doha Center ประเทศกาตาร์ กล่าวถึงประเทศอิหร่านที่ก่อนหน้านี้มีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาล แต่สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ซึ่งอิหร่านมีผู้ติดเชื้อสูงถึง 79,494 คนและเสียชีวิต 4,958 ราย รวมถึงมีการคาดการณ์ว่าอาจมีผู้ติดเชื้อมากกว่านี้ถึง 10 เท่า ทำให้ประชาชนไม่ค่อยกล้าออกไปชุมนุมเพราะกลัวความเสี่ยงด้านสุขภาพ แต่เชื้อไฟแห่งการประท้วงทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ความยากจนและการทุจริตของผู้มีอำนาจรัฐจะไม่หายไปไหน

รายงานข่าวยังยกตัวอย่างจากทวีปเอเชีย อาทิ ประเทศอินเดีย เมื่อรัฐบาลแดนภารตะสั่งล็อกดาวน์ แรงงานจากชนบทนับหมื่นคนที่มาหางานทำในเมืองใหญ่ต่างๆ กลายเป็นคนตกงาน หลายคนตัดสินใจเดินเท้ากลับภูมิลำเนา นอกจากนี้ยังมีการประท้วงในเมืองมุมไบเพื่อต่อต้านแนวคิดการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ขณะที่ประเทศจีน หากเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ขึ้นมาอีก ก็อาจสั่นคลอนอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ปกครองแดนมังกรมาหลายสิบปี

ที่ผ่านมา รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำให้ประชาชนจงรักภักดีได้ด้วยการสร้างความเจริญรุ่งเรือง แต่การเปิดเผยเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2563 ว่าเศรษฐกิจจีนไตรมาสแรกของปี 2563 หดตัวร้อยละ 6.8 เป็นการถดถอยครั้งแรกนับตั้งแต่จีนเริ่มนำเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเข้ามาใช้ในปี 2533 ศ.หยาเซิง หวง (Prof.Yasheng Huang) นักวิชาการจาก Sloan School of Management สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) สหรัฐฯ มองว่าเป็นความเสี่ยงต่อสัญญาประชาคม

อาทิ ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ต้นตอการระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 นำไปสู่การที่รัฐบาลแดนมังกรสั่งล็อกดาวน์ทั้งเมือง เมื่อการล็อกดาวน์สิ้นสุดลง ชาวเมืองได้ออกมาชุมนุมเรียกร้องให้ผู้ประกอบการยกเว้นค่าเช่าพื้นที่ในช่วงเวลาระหว่างที่กิจการต่างๆ ถูกสั่งปิด นอกจากนี้ยังมีการปะทะกันระหว่างชาวมณฑลหูเป่ยกับตำรวจมณฑลเจียงซีที่อยู่ข้างเคียง เพราะแม้ว่ามณฑลหูเป่ยจะถูกยกเลิกคำสั่งล็อกดาวน์แล้วแต่ชาวมณฑลแห่งนี้กลับไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าไปในมณฑลเจียงซี

ทั้งนี้ ความไว้วางใจต่อรัฐบาลเป็นกุญแจในการรักษาความจงรักภักดีของประชาชนที่ต้องถูกบังคับให้จำกัดเสรีภาพในการใช้ชีวิตและประกอบอาชีพเพื่อป้องกันโรคระบาด ความเชื่อถือนั้นอาจถูกลดทอนลงด้วยหลักฐานที่ชัดเจนว่ารัฐบาลพยายามซ่อนความรุนแรงของการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงแรก ซึ่งอาจยืดเยื้อและทำให้ต้นทุนทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมลดลง

ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.washingtonpost.com/world/coronavirus-protests-lebanon-india-iraq/2020/04/19/1581dde4-7e5f-11ea-84c2-0792d8591911_story.html

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top