เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 เว็บไซต์ นสพ.The Guardian ของอังกฤษ เสนอข่าว “Facebook bans some anti-lockdown protest pages” ระบุว่า เฟซบุ๊ก (Facebook) หนึ่งในสื่อสังคมออนไลน์ ลบโพสต์ที่มีเนื้อหาเชิญชวนให้ชาวอเมริกันออกมาประท้วงมาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) ที่ผู้ว่าการรัฐหลายรัฐในสหรัฐอเมริกา สั่งปิดกิจการต่างๆ ให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านเพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19
คำชี้แจงของเฟซบุ๊ก ระบุว่า กิจกรรมต่างๆ ที่มีการประชาสัมพันธ์ผ่านเฟซบุ๊กจะต้องทำให้แน่ใจว่า ผู้เข้าร่วมจะปฏิบัติตามหลักการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และหากรัฐไม่อนุญาตให้จัดกิจกรรมในช่วงนี้ก็ให้มาจัดกันบนเฟซบุ๊กแทน ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ การจัดกิจกรรมที่ต่อต้านคำแนะนำการเว้นระยะห่างทางสังคม จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ของเฟซบุ๊ก
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ท่าทีครั้งนี้ของเฟซบุ๊กดูกระตือรือร้นต่างจากที่เคยเป็นมาก่อน แต่ก็ยังมีคำถามถึงวิธีการ โดยสำนักข่าว CNN สหรัฐฯ รายงานว่า เฟซบุ๊กได้ลบโพสต์เกี่ยวกับการชุมนุมต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย นิวเจอร์ซีย์ และเนบราสกา ตามคำสั่งของผู้บริหาร 3 รัฐดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊กชี้แจงว่า การหารือกับทางการของรัฐเหล่านั้นเป็นเพียงการทำความเข้าใจขอบเขตมาตรการอยู่บ้านหยุดเชื้อเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการมีคำขอให้ลบโพสต์ต่อต้านแต่อย่างใด
เวรา เอเดลแมน (Vera Eidelman) ทีมทนายความขององค์กร American Civil Liberties Union (ACLU) เจ้าภาพใหญ่ที่จัดการประท้วงต้านมาตรการล็อกดาวน์ เปิดเผยว่า เฟซบุ๊กให้เหตุผลที่ลบโพสต์ เนื่องจากการชุมนุมของคนจำนวนมากอย่างเพิกเฉยต่อหลักการเว้นระยะห่างทางสังคม อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพทั้งจากตัวผู้เข้าร่วมชุมนุมเองและต่อชุมชน
ซึ่งตนแย้งว่า คำพูดหลักทางการเมืองคือ การตอบสนองของรัฐต่อการระบาดของโรค จากมาตรการช่วยเหลือไปจนถึงการให้ประชาชนอยู่บ้าน เฟซบุ๊กที่ควบคุมคำพูดนับพันล้านไม่ควรเซ็นเซอร์คำพูดทางการเมือง นี่เป็นความจริงโดยเฉพาะตอนนี้เมื่อมีคำถามเรื่องเวลาและวิธีการกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง ท่ามกลางคำถามกลางทางการเมืองและพื้นที่ออนไลน์เป็นช่องทางหลักในการแสดงออก
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า ท่าทีของเฟซบุ๊กกลายเป็นคำถามว่า ได้ตัดสินใจด้วยตนเองหรือตามคำสั่งของภาครัฐ อาทิ เจนนิเฟอร์ โบรดี (Jennifer Brody) ตัวแทนจากองค์กร Access Now ที่เคลื่อนไหวด้านสิทธิทางดิจิทัล ให้ความเห็นว่า ควรมีความโปร่งใสในการขอให้ลบโพสต์ออก ผู้บริหารรัฐปกปิดที่เฟซบุ๊กไม่สอดคล้องกับบรรทัดฐานด้านสิทธิมนุษยชน
เช่นเดียวกับ เดวิด เคย์ (David Kaye) ผู้รายงานพิเศษด้านเสรีภาพในการแสดงออกขององค์การสหประชาชาติ (UN) ตั้งคำถามว่า เหมาะสมหรือไม่ที่เฟซบุ๊กจะดำเนินการอย่างเจาะจงกับโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับการประท้วงแทนที่จะให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ร้องขอ การประท้วงไม่ว่า ถูกหรือผิดกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของภาครัฐ หากผู้คนรวมตัวประท้วงและฝ่ายสาธารณสุขส่วนใหญ่เห็นว่า มันอันตรายจริงๆ ก็เป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องห้ามปราม สำหรับเฟซบุ๊กเป็นเพียงการตั้งข้อสงสัยเท่านั้น
ทั้งนี้โดยทั่วไปแล้วหากรัฐจะขอให้ลบเนื้อหาบนเฟซบุ๊กหรือสื่อออนไลน์อื่นๆ จะเป็นการพิจารณาในศาล แต่หากเฟซบุ๊กตัดสินใจลบเองจะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 230 แห่งกฎหมายการสื่อสารที่เหมาะสม (Communications Decency Act) ซึ่งรัฐบาลกลางอนุญาตให้ผู้ให้บริการสื่อออนไลน์กำหนดกฎระเบียบว่าด้วยเนื้อหาที่อนุญาตให้เผยแพร่ในพื้นที่ของตนเอง
เคย์ ยังกล่าวด้วยว่า หากเป็นวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลต้องใช้อำนาจตามกฎหมายเพื่อสั่งเฟซบุ๊กให้ลบเนื้อหา นี่คือความแตกต่างระหว่างการกำกับดูแลที่รับผิดชอบโดยบริษัทที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ กับการตัดสินใจของภาครัฐที่ต้องตั้งอยู่ในกรอบของกฎหมาย รัฐอยู่ภายใต้ข้อจำกัดทางกฎหมายและมาตรการเยียวยา แต่เฟซบุ๊กไม่ใช่แบบนั้น
ขอบคุณเรื่องจาก ... https://www.theguardian.com/technology/2020/apr/20/facebook-anti-lockdown-protests-bans
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี