เจ็บให้จบแค่รอบเดียว! หรือ‘สหรัฐ’จะใช้แผน‘ภูมิคุ้มกันหมู่’ ปล่อยติด‘โควิด’จนมีภูมิคุ้มกันเพื่อไม่ระบาดรอบ2
15 พ.ค.63 สิ่งหนึ่งที่ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 นั่นคือกลยุทธ์ “ภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity)” หมายถึงการทำให้ประชากรส่วนใหญ่ติดเชื้อเพราะเมื่อรักษาหายคนคนนั้นจะมีภูมิคุ้มกันไม่กลับมาป่วยจากเชื้อเดิมซ้ำอีก ตามขั้นตอนที่ปลอดภัย ภูมิคุ้มกันหมู่เกิดขึ้นได้จากการฉีดวัคซีน แต่ในกรณีที่ยังไม่มีวัคซีน โรคก็จะระบาดและสงบไปเองตามธรรมชาติ ซึ่งระหว่างนั้นก็ต้องทนกับภาพอันน่าสลดใจอย่างผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ดังที่มีการบันทึกเรื่องราวในประวัติศาสตร์
ย้อนกลับไปเมื่อเดือน มี.ค. 2563 อังกฤษเป็นชาติแรกที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลอาจใช้กลยุทธ์ภูมิคุ้มกันหมู่ สวนทางกับเพื่อนบ้านบนภาคพื้นทวีปยุโรปต่างพากัน “ล็อกดาวน์ (Lockdown)” ปิดกิจการต่างๆ ให้เหลือเท่าที่จำเป็นและให้คนอยู่แต่ในบ้านเพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ท้ายที่สุดอังกฤษก็ต้องยอมล็อกดาวน์ เช่นเดียวกับเนเธอร์แลนด์ที่ผู้นำประเทศประกาศแต่แรกว่าจะใช้แผนดังกล่าว แต่ต่อมาก็ต้องถอยเพราะไม่อาจทนแรงกดดันจากเพื่อนบ้านร่วมทวีปได้
แต่นั่นไม่ใช่กับดินแดนแห่งเสรีชนคนรักประชาธิปไตยอย่าง สหรัฐอเมริกา เมื่อประชาชนจากหลายรัฐออกมาประท้วงต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ที่ผู้ว่าการรัฐบังคับใช้ ด้วยกลัวผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพราะการล็อกดาวน์เพียงไม่กี่วันยอดคนตกงานก็พุ่งไปนับสิบล้านคน การประท้วงยังผสมโรงด้วยการให้ท้ายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) รวมถึงมหาเศรษฐีเจ้าพ่อเทคโนโลยี อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ทำให้บรรดารัฐต่างๆ ต้องรีบทำแผนเปิดเมืองโดยเร็ว แม้สหรัฐฯ จะมียอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 สูงที่สุดในโลกแล้วก็ตาม
แต่ในขณะที่ชาวโลกไม่เข้าใจ บางทีอเมริกันชนอาจคิดถูกก็เป็นได้ เว็บไซต์ นสพ.USA TODAY สหรัฐฯ เสนอรายงานพิเศษ COVID-19 expert: Coronavirus will rage 'until it infects everybody it possibly can' เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2563 ที่ผ่านมา ว่าด้วยมุมมองจาก ไมเคิล ออสเตอร์โฮล์ม (Michael Osterholm) ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและนโยบายด้านโรคติดเชื้อ มหาวิทยาลัยมินนิโซตา ที่ชี้ว่า “โควิด-19 จะไม่หยุดระบาดจนกว่าจะมีผู้ติดเชื้อมากพอ” หรือก็คือตามแผนภูมิคุ้มกันหมู่นั่นเอง ที่โรคระบาดจะสงบลงต่อเมื่อประชากรร้อยละ 60-70 ติดเชื้อและมีภูมิคุ้มกันแล้ว
ในประวัติศาสตร์โรคระบาดครั้งใหญ่ที่ยังไม่ห่างไปจากความรับรู้ของชาวโลกมากนักอย่างโรคไข้หวัดใหญ่ (บางที่เรียก Spanish Flu หรือไข้หวัดสเปน-ผู้แปล) เมื่อปี 2461 นิวยอร์กและชิคาโก เป็น 2 เมืองในสหรัฐฯ ที่เจอการระบาดรอบแรกอย่างรุนแรง เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ อย่างบอสตัน ดีดรอยต์ มินนีแอโพลิสและฟิลาเดเฟีย จากนั้นการระบาดระลอกที่ 2 ได้ลุกลามไปทั่วประเทศ
ออสเตอร์โฮล์ม กล่าวว่า หากไวรัสโควิด-19 เพียงล่าถอยไปชั่วคราวก่อนจะกลับมาอีกครั้งในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เมื่อนั้นโรงพยาบาลอาจต้องแบกภาระหนักเกินกำลังที่มี เพราะต้องรับศึกสองด้านทั้งไข้หวัดและโรคระบบทางเดินหายใจที่เกี่ยวกับไวรัส นอกจากนี้ กรณีของเกาหลีใต้และสิงคโปร์ 2 ชาติในทวีปเอเชียที่ได้รับเสียงชื่นชมว่าควบคุมและตรวจหาผู้ติดเชื้อได้รวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการระบาดรอบแรก อาจตกอยู่ในสถานะเปราะบางเมื่อต้องเผชิญกับการระบาดระลอกที่ 2 ก็เป็นได้
“นั่นเป็นจุดสูงสุดอันใหญ่หลวงที่เราต้องเผชิญ ความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน ความตาย และความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจที่เรามี เรามีผู้ติดเชื้อเพียง 5-20% ซึ่งยังอีกไกลกว่าจะไปที่ 60-70%” ออสเตอร์โฮล์ม ระบุ นอกจากนี้ ในขณะที่เชื้อไข้หวัดใหญ่ใช้เวลา 2 วันในการฟักตัว แต่ไวรัสโควิด-19 ใช้เวลาถึง 5 วัน ระยะฟักตัวที่นานกว่าและการติดต่อที่สูงกว่า ทำให้โควิด-19 ระบาดได้ง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่
รายงานข่าวนี้ กล่าวต่อไปว่า สถิติ ณ เช้าวันที่ 11 พ.ค. 2563 มีชาวอเมริกันติดเชื้อโควิด-19 สะสมรวม 1.3 ล้านคน และเสียชีวิตเกือบ 8 หมื่นราย รัฐนิวยอร์กเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุดหากเทียบกับทั่วประเทศโดยมีผู้เสียชีวิตถึง 2.6 หมื่นราย นอกจากนี้ เมื่อทำการตรวจหาภูมิคุ้มกันจากชาวนิวยอร์ก พบว่าร้อยละ 20 ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว
ออสเตอร์โฮล์ม กล่าวอีกว่า การมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสามารถชะลอการระบาดของไวรัสได้ก่อนที่ประชากรส่วนใหญ่จะติดเชื้อและพัฒนาภูมิคุ้มกันได้ในระดับหนึ่ง และต่อให้วัคซีนจะได้ผลก็ยังไม่มีอะไรรับประกันได้ว่ามันจะสยบไวรัสโควิด-19 ได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งประเทศคงไม่สามารถปิดกิจกรรมต่างๆ ได้นานถึง 18 เดือน (ระยะเวลาที่คาดว่าจะมีวัคซีนพร้อมใช้งาน-ผู้แปล) ดังนั้นภาครัฐและภาคธุรกิจต้องมาคิดกันว่าจะอยู่ร่วมกับเชื้อโรคที่จะยังไม่หายไปเร็วๆ นี้ได้อย่างไร แต่ในขณะนี้ยังไม่มีการอภิปรายในเรื่องนี้เลย
อีกด้านหนึ่ง บรรดาผู้ว่าการรัฐกำลังหาทางให้กิจการต่างๆ กลับมาเปิดได้ เช่น รัฐจอร์เจีย เริ่มทยอยเปิดร้านสักลาย ลานโบว์ลิ่ง ร้านตัดผม เสริมสวยและทำเล็บ ภายใต้ข้อจำกัด มาตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย. 2563 ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเปิดช้ากว่าเพื่อให้ผู้ผลิตสินค้าและผู้ประกอบการค้าปลีกที่มีความเสี่ยงต่ำได้กลับมาเปิดทำการก่อน ทั้งนี้ หลายคนกังวลมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ส่งผลกระทบทำให้ธุรกิจปิดตัวและอัตราการว่างงานสูงขึ้น ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 15 ทั่วประเทศ และอาจสูงถึงร้อยละ 20
แม้จะยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าตกลงแล้วสหรัฐอเมริกาใช้แผนภูมิคุ้มกันหมู่จริงหรือไม่ เพราะเป็นเพียงทรรศนะจากผู้เชี่ยวชาญเพียงท่านเดียวเท่านั้น แต่ภาพของชาวอเมริกันที่ยังใช้ชีวิตตามปกติ สวมหน้ากากปิดปาก-จมูกบ้างไม่สวมบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือไม่ยอมอยู่บ้านและขอกลับไปทำงาน ซึ่งปรากฏผ่านสื่อไปทั่วโลก ก็อาจทำให้คิดได้ว่าแผนดังกล่าวถูกใช้แล้วในทางปฏิบัติอย่างไม่เป็นทางการ แต่การเดิมพันด้วยชีวิตคนจำนวนมากที่เจ็บป่วยล้มตายเช่นนี้ ในระยะยาวจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นเร็วกว่าที่อื่นจริงหรือไม่?..เรื่องนี้ยังต้องติดตามกันต่อไป!!!
ขอบคุณเรื่องจาก usatoday
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี