23 พ.ค. 2563 เว็บไซต์ นสพ.South China Moring Post ของฮ่องกง เผยแพร่รายงานพิเศษ “Chinese tourists, travel bubbles: how Asia can refloat its battered travel industry” ว่าด้วยเศรษฐกิจหลายประเทศในทวีปเอเชีย ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาถูกขับเคลื่อนด้วยชาวจีนทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว และวันนี้แม้จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ประเทศเหล่านั้นกำลังพยายามคิดหาวิธีดึงดูดชาวจีนอีกครั้ง
อาทิ เกาหลีใต้ เริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2563 มีความตกลงกับจีนว่าด้วยการเดินทางของนักธุรกิจของทั้ง 2 ชาติระหว่างเกาหลีใต้และ 10 มณฑลของจีน หากผลตรวจไวรัสโควิด-19 เป็นลบทั้งจากประเทศต้นทางและปลายทาง เปิดช่องทางพิเศษให้ขั้นตอนต่างๆ รวดเร็วขึ้น คนแรกที่ใช้บริการโครงการนี้คือ ลี แจ-ยอง (Lee Jae-yong) รองประธานบริษัทซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ของเกาหลีใต้ ที่ไปตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตชิปอิเล็กทรอนิกส์ ในเมืองซีอาน มณฑลส่านซีของจีน และขณะนี้เกาหลีใต้กำลังหาทางขยายโครงการเพิ่มเติม
ที่สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศเกาหลีใต้ประจำกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เจ้าหน้าที่กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้นเพื่อทำการตลาดกับชาวจีน เจ้าหน้าที่รายหนึ่ง ระบุว่า จีนเป็นหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้เคียงกับเกาหลีใต้มากที่สุด ตนหวังว่าชาวจีนจะยอมรับความพยายามของเกาหลีใต้ในการรักษาการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนของทั้ง 2 ชาติ แม้จะเป็นยุคสมัยแห่งโรคระบาดที่ต้องให้กับความสำคัญกับการป้องกันโรคก็ตาม
แต่หากเป็นด้านการท่องเที่ยว ย้อนไปเมื่อเดือน มี.ค. 2563 Pacific Asia Travel Association สอบถามความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่างชาวจีน 1,252 คน ว่าหากวิกฤติไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลง พวกเขาอยากจะไปเที่ยวที่ประเทศไหนมากที่สุด ซึ่งพบว่า ไทยอยู่ในอันดับ 2 เป็นรองเพียงญี่ปุ่นเท่านั้น ส่วนอันดับ 3 คือประเทศในทวีปยุโรป อันดับ 4 มัลดีฟส์ และอันดับ 5 สิงคโปร์ อนึ่ง ร้อยละ 60 ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่า ต้องการเดินทางในปี 2563 นี้ และอีกร้อยละ 35 ระบุว่า ต้องการเดินทางไปยังประเทศที่สนับสนุนจีนในช่วงที่ต้องต่อสู้กับโรคระบาด
ดังนั้นนี่จึงอาจเป็นโอกาสของประเทศไทย เพราะในปี 2562 ที่ผ่านมา มีชาวต่างชาติเดินทางไปเยือนไทยถึง 39.8 ล้านคน และในจำนวนนี้ร้อยละ 27 เป็นชาวจีน ไทยนั้นเป็นประเทศหนึ่งที่ขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ในปี 2561 สัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (GDP) ด้านนี้อยู่ที่ร้อยละ 11 เท่ากับเวียดนาม และมากกว่าสิงคโปร์ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 5.5 กับมาเลเซียซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 5.8 ส่วนกัมพูชานั้นขับเคลื่อนด้วย GDP ภาคการท่องเที่ยวมากถึงร้อยละ 17.8 แต่หากว่ากันในระดับเมือง เกาะบาหลีของอินโดนีเซีย พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวถึงร้อยละ 70
กัมพูชา เป็นอีกประเทศที่กระตือรือร้นในการเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยว โดยกำลังออกแบบมาตรการตามแนวทางเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) บนรถทัวร์และร้านอาหารเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวจีน ทง คอน (Thong Khon) รัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยวของกัมพูชา เชื่อมั่นว่า ชาวจีนจะมองกัมพูชาในแง่ดี เพราะในเดือน ก.พ. 2563 ฮุน เซน (Hun Sen) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่งด้วยตนเอง นอกจากนี้ รัฐบาลกัมพูชายังยกเลิกคำสั่งห้ามพลเมือง 6 ประเทศเดินทางเข้ากัมพูชา ในจำนวนนี้รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย
สิงคโปร์ ที่ตั้งของสนามบินอันดับ 17 ของโลกประจำปี 2562 อย่างท่าอากาศยานชางงี ในปี 2563 ต้องปิดอาคารผู้โดยสารลง 2 หลังจากทั้งหมด 4 หลัง เนื่องจากเที่ยวบินลดลง ในเดือน มี.ค. 2562 ที่นี่มีผู้โดยสารมากถึง 5.63 ล้านคน แต่เดือน มี.ค. 2563 เหลือเพียงผู้โดยสารขาเข้า 100 คน และขาออก 700 คนต่อวัน ไดนาสตี้ ทราเวล (Dynasty Travel) บริษัททัวร์ในสิงคโปร์ กล่าวว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนยังมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ
ญี่ปุ่น แอชลีย์ ฮาร์วีย์ (Ashley Harvey) ผู้จัดการทั่วไปของ เอเวียเรปส์ (Aviareps) บริษัททัวร์สัญชาติเยอรมนี เปิดเผยว่า ตนกำลังตั้งเป้าหมายไปยังตลาดที่รวดเร็วและสำคัญที่สุดของญี่ปุ่น ทั้งนี้ เชื่อว่าชาวจีนชื่นชมการสนับสนุนการจากญี่ปุ่นในช่วงวิกฤติ เช่น การบริจาคหน้ากากอนามัยไปช่วยเหลือเมืองอู่ฮั่น จุดศูนย์กลางการระบาดในประเทศจีน รวมถึงการแสดงออกเชิงบวกอื่นๆ สิ่งเหล่านี้เชื่อว่าคงช่วยกระตุ้นให้ชาวจีนอยากมาเยือนญี่ปุ่นไปได้อีกนาน
อีกด้านหนึ่ง ในขณะที่หลายประเทศพยายามดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะจากจีน แต่บางประเทศกลับเปลี่ยนไปส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ อาทิ เวียดนาม มีการส่งเสริมแนวคิด “เวียดนามเที่ยวเวียดนาม (Vietnamese People Travel in Vietnam)” บรรดาโรงแรมและรีสอร์ทจัดโปรโมชั่นส่วนลดแก่นักท่องเที่ยวในท้องถิ่น เรื่องนี้ แม้กระทั่ง ไดนาสตี้ ทราเวล จากสิงคโปร์ ก็ยอมรับว่ามองตลาดชาวสิงคโปร์เที่ยวกันเองในประเทศ
สอดคล้องกับการสำรวจของ Pacific Asia Travel Association อีกเช่นกัน ที่เผยให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างชาวจีนร้อยละ 56 ต้องการท่องเที่ยวในประเทศ รวมถึง ซิโอบัน ลินช์ (Siobhan Lynch) นักวิเคราะห์จาก ดอยซ์แบงก์ (Deutsche Bank) สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของเยอรมนี ให้ความเห็นว่า แม้จะมีวัคซีน แต่อาจต้องใช้เวลา 2-3 ปี กว่าที่เศรษฐกิจโลกจะกลับไปอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด
นอกจากนี้ รูปแบบการท่องเที่ยวก็มีแนวโน้มเปลี่ยนไปด้วย หว่อง คิง หยิน (Wong King Yin) นักวิชาการด้านการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง (Nanyang Technological University) ของสิงคโปร์ กล่าวว่า นักท่องเที่ยวจะเลือกไปในที่ที่ผู้คนไม่แออัด เมืองอาจไม่ใช่สถานที่ดึงดูดเพราะพวกเขาจะมองไปที่การเดินทางเพื่อสุขภาพ ใช้วันหยุดกับการฝึกสมาธิ ล่นโยคะ ผจญภัยหรือพักผ่อน
เช่นเดียวกับ อลิเซีย ซีห์ (Alicia Seah) อาชีพผู้จัดการฝ่ายการตลาด มองว่า ผู้คงจะใช้เวลาเดินทางน้อยกว่า 7 ชั่วโมงในช่วงวันหยุด นักท่องเที่ยวจะเลือกพื้นที่เปิดโล่งและทำกิจกรรมกลางแจ้ง รีสอร์ทบรรยากาศธรรมชาติย่านชานเมืองจะได้รับความนิยมมากกว่าที่พักในเมือง รวมถึง ไมเคิล เชียม (Michael Chiam) นักวิชาการอาวุโสด้านการท่องเที่ยว สถาบันหงีอันโพลีเทคนิค (Ngee Ann Polytechnic) กล่าวว่า หลังจากนี้การท่องเที่ยวจะเป็นเรื่องของคุณภาพไม่ใช่ปริมาณ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์โรคระบาด
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ : https://www.scmp.com/print/week-asia/economics/article/3085732/chinese-tourists-travel-bubbles-how-asia-can-refloat-its
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี