เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2563 สำนักข่าว Channel News Asia ของสิงคโปร์ เสนอรายงานพิเศษ Hot in the city: Rising night temperatures a potentially major health issue in Asian metropolises ว่าด้วยบรรยากาศในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย ที่นับวันอุณหภูมิจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อาทิ เรื่องเล่าจาก Prasert Saisamphan ชายวัย 65 ปี ที่ระบุว่า เมื่อครั้งตนยังเป็นหนุ่มอายุ 20 ปี ในละแวกบ้านไม่มีอาคารสูงหรือคอนโดมิเนียม ที่บ้านใช้เพียงพัดลมเท่านั้นไม่จำเป็นต้องติดตั้งเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใด แต่ ณ วันนี้ ลำพังการจะสูดอากาศให้เต็มปอดยังทำได้ยาก
เช่นเดียวกับ Jurairat Kruephimai ชาวบ้านอีกรายในย่าน Klong Khlang ละแวกเดียวกับ Prasert เล่าว่า ปีนี้อากาศร้อนมากกว่าปีก่อนเท่าตัวและค่าไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้น ถึงขั้นที่ตนต้องติดตั้งระบบฉีดน้ำไว้บนหลังคา ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ชาวกรุงเทพฯ ไม่ได้คิดไปเอง แต่มันเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “เกาะความร้อนในเมือง (Urban Heat Island)” เมื่อถนน อาคาร และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่ทำจากคอนกรีต ดูดซับความร้อนจากดวงอาทิตย์ในตอนกลางวันก่อนจะปล่อยออกยามค่ำคืน อีก 2 ปัจจัย คือ จำนวนยานพาหนะที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนพื้นที่สีเขียวเป็นสถานที่ก่อสร้างต่างๆ
สิจิต ดวิอนันโท อริฟวิโดโด (Sigit Dwiananto Arifwidodo) อาจารย์ภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า ในปี 2555 ตนเคยศึกษาอุณหภูมิที่แตกต่างกันระหว่างเมืองกับชนบทของไทย พบว่าต่างกันสูงสุดอยู่ที่ 7 องศาเซลเซียส และการศึกษาอีกครั้งในปี 2561 ใช้ข้อมูลเกือบทุกจุดของกรุงเทพฯ ก็ยังพบเช่นเดิมว่าปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมืองทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น
รายงานกล่าวต่อไปว่า ไม่เฉพาะแต่กรุงเทพฯ เท่านั้นที่กำลังเผชิญปัญหาอุณหภูมิในเมืองสูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง แต่เกาะฮ่องกงก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่ง ผลการศึกษาของ Chinese University of Hong Kong (CUHK) พบการเพิ่มอุณหภูมิในเมืองช่วงกลางคืนซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change) และปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง อาทิ ในเดือน ก.ค.2563 ชาวฮ่องกงต้องทนกับค่ำคืนอันร้อนระอุติดต่อกันยาวนานถึง 20 วัน แน่นอนว่ามันส่งผลต่อสุขภาพของพวกเขา
ผศ.ดร.เควิน หลิว (Kevin Lau) นักวิชาการประจำสถาบันเมืองแห่งอนาคต CUHK กล่าวว่า กลางคืนควรเป็นเวลาที่ร่างกายได้พักผ่อน แต่อากาศร้อนทำให้ประสิทธิภาพในการฟื้นตัวลดลง ซึ่งสาเหตุมาจากสภาพแวดล้อมที่แออัดและอากาศถ่ายเทได้ไม่ดี บรรดาคนที่อยู่ตามแฟลตจึงมีความเสี่ยง อนึ่ง เด็ก สตรีและคนชรา ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้เป็นพิเศษ เนื่องจากประชากรในเมืองมีอายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้นแต่เมืองก็แออัดมากขึ้นด้วย สถานการณ์ความเครียดจากอากาศร้อนดูจะเลวร้ายลง
รศ.วินสตัน โจว (Winston Chow)นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสังคม Singapore Management University ประเทศสิงคโปร์ ให้ความเห็นว่า ยิ่งเมืองมีความหนาแน่นและแออัด สิ่งที่ตามมาคือปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง ยิ่งถ้าในเมืองมีประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นแล้วต้องเผชิญกับความร้อนทั้งกลางวันและกลางคืนก็ย่อมส่งผลต่อสุขภาพด้วย
ที่ผ่านมา ชาวฮ่องกงพยายามหาทางออกใหม่ๆ เช่น ออกแบบอาคารโดยคำนึงถึงพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น รวมถึงการถ่ายเทของอากาศและรับมือการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ รศ.โจว มองว่า แนวคิดนี้สามารถนำไปปรับใช้กับสิงคโปร์ได้ เพราะสิงคโปร์เองก็ตรวจพบอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 7 องศา จากปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมืองแม้จะมีสภาพอากาศและผังเมืองแตกต่างกัน มีการพบจุดความร้อนที่ย่าน Punggol, Sengkang, Seletar และ Woodlands
ซึ่งการปรับโครงสร้างอาคารหรือการทำสวนบนดาดฟ้าแก้ปัญหาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่การออกแบบอาคารใหม่ต้องคำนึงถึงแนวคิดใหม่นี้ อย่างไรก็ตาม สำหรับที่ประเทศไทย อริฟวิโดโด ยอมรับว่า เหมือนสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม้รัฐบาลไทยจะมีแผนแม่บทว่าด้วยผังเมืองฉบับใหม่ที่คำนึงถึงความร้อน แต่ก็เป็นไปโดยสมัครใจและมีความซับซ้อนจากการแบ่งเขต แน่นอนหากเมืองยังเต็มไปด้วยป่าคอนกรีตและไม่มีพื้นที่สีเขียวก็คงทำอะไรไม่ได้มาก
อีกทั้งอาคารก็มีอายุของตนเอง หลังจากผ่านไป 5 - 10 ปี อาจต้องการการปรับปรุงใหม่ และกฎระเบียบใหม่อาจหมายถึงเพิ่มความเขียวจีให้อาคาร ขณะที่เมืองอุตสาหกรรมที่อยู่รอบๆ กรุงเทพฯ ก็กำลังบันทึกปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมืองอยู่แล้วซึ่งยังไม่เลวร้ายไปกว่าความเหมาะสมของเมือง แต่ก็ยังมีทางเลือกในการบรรเทาผลกระทบหากรัฐบาลประสานความพยายาม
รศ.โจว กล่าวอีกว่า บรรดาประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ต้องเตรียมแผนรับมือล่วงหน้าสำหรับเมืองรองเพื่อไม่ให้ซ้ำรอยเมืองหลวง อาทิ เชียงใหม่ของไทย สุราบายาของอินโดนีเซีย ดานังของเวียดนาม เมืองเหล่านี้เติบโตอย่างรวดเร็วและกำลังสุ่มเสี่ยงเผชิญปัญหาปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง หากการพัฒนาเมืองยังคงทำอย่างผิดพลาด เมืองใหม่ที่เกิดขึ้นโดยการพัฒนาอยู่บนการที่ผู้คนทำงานกลางแจ้งท่ามกลางอุณหภูมิที่สูง คนเหล่านี้ต้องเผชิญความเครียดจากอากาศร้อนแม้กระทั่งการพักผ่อนตอนกลางคืน
อริฟวิโดโด ให้ความเห็นว่า การที่กรุงเทพฯ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อย เป็นเพราะมองว่าปัญหาการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากความเครียดที่เชื่อมโยงกับอากาศร้อนมีไม่มากนัก รวมถึงไม่มีการเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ แม้จะมีคนป่วยจริง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้คนฐานะระดับชนชั้นล่าง เช่น คนงานก่อสร้าง ผู้ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และงานอื่นๆ ที่ต้องอยู่กลางแจ้งทั้งวัน
รายงานยังกล่าวอีกว่า ปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมืองและการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศจะยิ่งเพิ่มปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมให้รุนแรงขึ้น เครื่องปรับอากาศอาจช่วยป้องกันผู้คนนับล้านคนจากความร้อนยามค่ำคืน แต่สำหรับคนที่ไม่มีปัญญาจ่ายอนาคตของพวกเขาจะยิ่งลำบาก รศ.โจว กล่าวว่า ลองนึกภาพอุณหภูมิยามค่ำคืนเพิ่มจาก 25 เป็น 27 องศาเซลเซียส ผู้คนจะต้องพึ่งพาเครื่องปรับอากาศมากเพียงใด และหากมองไปที่ผู้คนในประเทศรายได้น้อย สถานการณ์ที่นั่นจะยิ่งเลวร้าย
อนึ่ง เครื่องปรับอากาศนั้นยังทำงานจากแหล่งพลังงานสกปรก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นเพียงการผลักปัญหาจากในบ้านไปสู่นอกบ้านเท่านั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหาความร้อนในเมืองอย่างแท้จริง อริฟวิโดโด เปรียบเทียบกับปัญหาโรคอ้วนซึ่งแทนที่จะลดน้ำหนักแต่กลับไปซื้อกางเกงตัวใหญ่มาใส่แทน การใช้เครื่องปรับอากาศทำให้เกิดความร้อนภายนอกทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นในสภาพอากาศเล็กๆ โดยรอบ อีกทั้งยังเพิ่มการใช้พลังงานและเพิ่มความเหลื่อมล้ำในชุมชน เพราะสำหรับผู้คนในชุมชนยากจนนั้นเครื่องปรับอากาศเป็นสิ่งที่ไม่อาจเอื้อมถึง
รายงานข่าวทิ้งท้ายด้วยผู้คนย่าน Klong Khlang กรุงเทพฯ ที่พยายามหาต้นไม้และสมุนไพรมาปลูกเพื่อหวังจะลดอุณหูมิในละแวกชุมชนลดลงได้แม้เพียงเล็กน้อยก็ตามโดยเฉพาะในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม ที่เป็นฤดูร้อน ซึ่ง Jurairat ยอมรับว่า เป็นความพยายามที่ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก และแม้แต่จะใช้พัดลมสถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น เพราะคอนกรีตนั้นดูดซับความร้อน โดยเฉพาะในปีนี้ที่อากาศร้อนมาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี