มอสโก/นิวยอร์ก (เอพี/รอยเตอร์ส/บีบีซี นิวส์) - ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ยอมรับว่า กองทัพรัสเซียอาจต้องปฏิบัติการสู้รบในยูเครนยืดเยื้อเป็นเวลายาวนาน แต่จะไม่มีการใช้คำสั่งระดมพลเป็นครั้งที่ 2 ในตอนนี้ และว่าภัยคุกคามสงครามนิวเคลียร์มีมากขึ้น แต่รัสเซียไม่ได้บ้าคลั่งถึงขั้นใช้นิวเคลียร์

ประธานาธิบดีปูติน ซึ่งไม่ค่อยพูดถึงเรื่องช่วงเวลาที่ใช้ในการสู้รบกับยูเครนนับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากบุกโจมตียูเครนมาเป็นเวลากว่า 9 เดือน กล่าวกับผู้สนับสนุนในการประชุมที่มีการถ่ายทอดผ่านทางโทรทัศน์ว่า กองทัพรัสเซียอาจต้องปฏิบัติการสู้รบในยูเครนยืดเยื้อเป็นเวลายาวนาน แม้ตอนนี้มีความเสี่ยงต่อการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในยูเครนเพิ่มขึ้นแต่เขาและรัสเซียไม่บ้าคลั่งพอจะไม่ตัดสินใจใช้อาวุธดังกล่าวโดยพลการเด็ดขาด ประธานาธิบดีปูตินยังกล่าวว่า รัสเซียได้สั่งระดมทหารกองหนุนราว 150,000 นาย จากทั้งหมด 300,000 นาย ในเดือนกันยายนและตุลาคมเพื่อเข้าไปปฏิบัติการในยูเครน ส่วนทหารที่เหลืออีก 150,000 นาย กำลังเข้ารับการฝึกซ้อมรบอยู่ในศูนย์ฝึกทหาร ทั้งยังระบุว่า ขณะนี้ รัสเซียยังไม่มีเหตุผลจำเป็นที่จะต้องใช้คำสั่งระดมพลครั้งที่ 2

ปูตินยังระบุด้วยว่ารัสเซียมีอาวุธนิวเคลียร์ที่ทันสมัยล้ำหน้ามากที่สุดในโลก แต่วางยุทธศาสตร์นิวเคลียร์แตกต่างจากของสหรัฐฯ ซึ่งปูตินระบุว่าข้ามเลยไปไกลจากรัสเซีย โดยระบุว่าสหรัฐฯ ติดตั้งประจำการอาวุธนิวเคลียร์ในดินแดนของประเทศอื่นๆ อย่างในตุรเคียและหลายประเทศในยุโรป และว่า รัสเซียสามารถควบรวมดินแดนถึงขั้นที่ทำให้ทะเลอาซอฟที่ส่วนหนึ่งอยู่ในฝั่งยูเครน กลายเป็นทะเลของรัสเซีย

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่าแม้กองทัพรัสเซียจำเป็นต้องประกาศถอนกำลังทหารออกจากสนามรบ ซึ่งรวมถึงการเสียเมืองเคอร์ซอน ทางตอนใต้ของยูเครนที่รัสเซียยึดไว้คืนกลับไปให้ยูเครน แต่ประธานาธิบดีปูตินก็ระบุว่า เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจที่สั่งเปิดฉากบุกโจมตียูเครน ทั้งยังระบุว่า รัสเซียได้บรรลุผลจากปฏิบัติการพิเศษทางทหารแล้ว นั่นคือ การผนวกแคว้นทั้ง 4ของยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียในเดือนกันยายน

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของผู้นำรัสเซียมีขึ้นหลังนิตยสารไทม์ของสหรัฐฯ ได้มอบตำแหน่างบุคคลแห่งปี 2022 ให้ ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน โดยระบุว่าเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้ชาวยูเครน และเป็นผู้ได้รับการยอมรับจากนานาชาติจากความกล้าหาญต่อสู้กับการรุกรานของรัสเซีย โดยได้ตำแหน่งนี้ร่วมกับ “สปิริต” หรือจิตวิญญาณแห่งยูเครน ซึ่งหมายถึงชาวยูเครนทั่วโลกรวมทั้งผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่ร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกันในยามที่ยูเครนต้องต่อสู้รับมือกับปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย