1 มีนาคม 2566 สำนักข่าว Antara ของอินโดนีเซีย เสนอข่าว Indonesia must compete with Thailand in EV ecosystem: minister อ้างคำกล่าวของ แอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต (Airlangga Hartarto) รัฐมนตรีกระทรวงประสานงานด้านเศรษฐกิจ ที่ระบุว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของอินโดนีเซีย จะต้องแข่งขันกับประเทศไทย โดยเปรียบเทียบแรงจูงใจสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าต่อคันถูกกำหนดไว้ที่ 7 ล้านรูเปียห์ หรือราว 16,240 บาท ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ในขณะที่ไทยให้แรงจูงใจยานยนต์ไฟฟ้าต่อคันถึง 80 ล้านรูเปียห์ หรือราว 1.85 แสนบาท
ฮาร์ตาร์โต ซึ่งกล่าวถึงเรื่องนี้ในงาน “CNBC Economic Outlook 2023” ทางออนไลน์เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2566 ยังเปิดเผยด้วยว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการสรุปกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าต่อไป ส่วนแรงจูงใจ 7 ล้านรูเปียห์สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในอินโดนีเซียจะได้รับการจัดเตรียมสำหรับมอเตอร์ไซค์ผลิตใหม่ตลอดจนการเปลี่ยนมอเตอร์ไซค์ รวมถึงกฎระเบียบเกี่ยวกับเรื่องนี้จะออกในอนาคตอันใกล้
“แรงจูงใจของรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับทั้งมอเตอร์ไซค์และรถยนต์จะขึ้นอยู่กับการผลิตในประเทศทั้งหมด การตัดสินใจครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนกระแสที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงระบบนิเวศการผลิต ซึ่งขณะนี้ได้ฟื้นตัวแล้ว ภาคการผลิตของอินโดนีเซียมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) แตะระดับ 51.3 ในเดือนมกราคม 2566” ฮาร์ตาร์โต กล่าว
ฮาร์ตาร์โต ยังกล่าวอีกว่า การปรับปรุงนี้มาพร้อมกับยอดขายรถยนต์ที่ทำลายสถิติ ซึ่งสูงถึง 1.04 ล้านคันในปี 2565 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขก่อนเกิดโรคระบาด ซึ่งในความเป็นจริง การส่งออกยานยนต์ของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นร้อยละ 60 และส่งออกไปยังกว่า 70 ประเทศแล้ว นอกจากนี้ ตนขอให้นักลงทุนรักษาความไว้วางใจในการลงทุนในอินโดนีเซียในช่วงปีการเมือง เนื่องจากรัฐบาลและรัฐสภาให้การรับประกัน
“การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2567 จะไม่ใช่ครั้งแรกที่อินโดนีเซียจัดขึ้น แต่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 5 ในช่วงหลังการปฏิรูป ตลอดการเลือกตั้งที่จัดขึ้นในปี 2547 2552 2557 และ 2562 สภาพของอินโดนีเซียยังคงทรงตัว” ฮาร์ตาร์โต กล่าวในตอนท้าย
ขอบคุณเรื่องจาก : https://en.antaranews.com/news/274179/indonesia-must-compete-with-thailand-in-ev-ecosystem-minister