5 มิ.ย. 2566 The Morning นสพ.ท้องถิ่นของศรีลังกา เสนอรายงานพิเศษ Economic crisis: The plight of Colombo Central’s street vendors ว่าด้วยชะตากรรมของผู้ประกอบอาชีพค้าขายรายย่อย คือหนึ่งในกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศศรีลังกา อาทิ เศวตวารี (Sarveshwari) แม่ค้าขายดอกไม้ในย่านใจกลางกรุงโคลัมโบ เมืองหลวงของศรีลังกา เปิดเผยว่า ตนที่เป็นเสาหลักของครอบครัวกำลังลำบาก
“ไม่เหมือนในอดีต การทำธุรกิจเป็นเรื่องยากมากในปัจจุบัน ฉันพึ่งพาร้านดอกไม้เล็กๆ แห่งนี้อย่างเต็มที่เพื่อความอยู่รอดของครอบครัวและตัวฉันเอง รายได้ที่ฉันได้รับไม่พอเลี้ยงครอบครัวเลย ฉันเสียสามีไป อยู่บ้านเช่ากับลูก 3 คน ค่าใช้จ่ายของสินค้าที่จำเป็นพุ่งสูงขึ้น มีหนี้สินที่ต้องชำระ ค่าไฟและค่าน้ำพุ่งสูงขึ้น เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เราได้จำนำเครื่องประดับในธนาคารซึ่งต้องไถ่ถอนและเรามีข้อผูกมัดอื่นๆ อีกมากมาย ราคาของพวงมาลัยอยู่ที่ 200 รูปี (ราว 24 บาท) แต่ผู้คนยังไม่พร้อมที่จะซื้อแม้ในราคา 150 รูปี (ราว 18 บาท)” เศวตวารี กล่าว
เช่นเดียวกับ กฤษณะ (Krishna) ชายสูงวัย พ่อค้าดอกไม้และพวงมาลัยอีกราย กล่าวว่า ตนมีรายได้ทางเดียวคือการขายพวงมาลัย รายได้นี้จำเป็นต่อการซื้อวัตถุดิบไปทำอาหารกินเองที่บ้าน แต่ปัจจุบันด้วยเศรษฐกิจตกต่ำตนก็ไม่มีรายได้แล้ว ทั้งนี้ ผู้ค้ามีความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตครอบครัวในแต่ละวัน นอกจากนี้ ในช่วงฤดูฝน การประกอบอาชีพยิ่งลำบากเพราะไม่มีที่พักพิงที่เหมาะสมและไม่มีกลไกในการปกป้องสินค้า ขณะที่ในฤดูร้อนจะไม่มีการหยุดพักจากความร้อนที่แผดเผา แต่ผู้ค้าก็ยังต้องดิ้นรนสู้ชีวิตกันต่อไป
อิธยราชา (Idhayaraja) พ่อค้าผลไม้ที่มีภรรยาเป็นแม่บ้านทำความสะอาด เล่าว่า ตนมีลูก 2 คน ยังขายของท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผา ก่อนหน้านี้ไปกู้เงินมาเพื่อลงทุน แต่ปัจจุบันกิจการขาดทุนเนื่องจากปริมาณการค้าต่ำมากและตนพบว่ามันยากที่จะหาเลี้ยงชีพ ซึ่งปัญหาทุนสำรองด้วยเงินดอลลาร์ หรือเหรียญสหรัฐลดลงอย่างมาก ทำให้โอกาสในการได้รับสินเชื่อของผู้ค้ายิ่งยากขึ้นไปอีก ขณะที่ผู้ที่กู้เงินไปแล้ว การใช้หนี้คืนก็ยากขึ้นเพราะอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
ผู้ค้าที่จำหน่ายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ก็ได้รับผลกระทบไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังตัวอย่างของ รากุมัน (Rakuman) พ่อค้าของเล่นนำเข้า กล่าวว่า ตนมีรายได้เพียง 1,500 รูปี (ประมาณ 180 บาท) ต่อวัน ในขณะที่ต้องเลี้ยงสมาชิกในครอบครัว 5 ชีวิต เงินจำนวนนี้ไม่เพียงพอต่อความหิวโหยของครอบครัว ต้องเหี่ยวเฉาท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผาเพื่อหารายได้เพียงเล็กน้อย ด้านหนึ่ง รากุมัน ต้องจ่ายเงินสั่งซื้อสินค้ามากขึ้นเพราะอัตราภาษีนำเข้าสินค้าที่สูงขึ้น แต่อีกด้านหนึ่ง ลูกค้าก็มีกำลังซื้อสินค้าของตนลดลง
นอกจากต้องรับมือกับต้นทุนสินค้าที่ซื้อเพื่อขายเพิ่มขึ้นแล้ว ผู้ค้ายังต้องรับมือกับแรงกดดันที่เกี่ยวข้องกับค่าครองชีพเช่นเดียวกับครอบครัวชาวศรีลังกาอื่นๆ ในขณะเดียวกันยอดขายก็ลดลง แม้ปัญหาการขาดแคลนเชื้อเพลิงหมดไปแต่รายได้ของประชาชนกลับไม่เพิ่มขึ้น ดังที่ เค. อมิรธาลิงกัม (K. Amirthalingam) อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมโบ ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อลดลงจากร้อยละ 73 เป็นร้อยละ 53 แต่ต้นทุนสินค้ายังคงสูงมาก
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า การจับจ่ายที่ลดลงนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเดินผ่านตลาดเพตตาห์ (Pettah) ทั้งร้านค้าและแผงค้าส่วนใหญ่ปิดร้านตั้งแต่เวลาประมาณ 19.00 น. แม้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของชาวทมิฬและชาวสิงหล ตลอดจนเทศกาลรอมฎอนของผู้นับถือศาสนาอิสลาม โมฮาเหม็ด อิมธิยาส (Mohamed Imthiyas) พ่อค้าแผงลอยผู้จำหน่ายผัก-ผลไม้ดอง กล่าวว่า ผู้คนไม่มีเงินในขณะที่ราคาสินค้าก็แพง ทุกวันนี้ผู้ค้าเผชิญกับความยากลำบากเนื่องจากมีผู้ออกมาจับจ่ายน้อยลง แต่ถึงการหารายได้ในแต่ละวันนั้นหายาก ตนก็ยังจัดการครอบครัวด้วยสิ่งที่มี
ผู้ค้าส่วนใหญ่ระบุว่า มีรายได้ 1,000-2,000 รูปี (ประมาณ 120-240 บาท) ต่อวัน ซึ่งไม่พอเลี้ยงครอบครัว ภรรยาของผู้ค้ายังกล่าวเสริมว่า รายได้เท่านี้เท่ากับไม่มีเงินเก็บออมสำหรับวันหน้า นอกจากนี้ ราคาอุปกรณ์การเรียนของลูกๆ ก็สูงขึ้นถึง 3 เท่า แม้แต่ค่าอาหารที่จำเป็นและสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน ค่าไฟ ค่าน้ำ ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล เป็นอีกหนึ่งภาระที่ไม่สามารถแบกรับได้
นอกจากจะต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจแล้ว หากเป็นผู้ค้าหาบเร่แผงลอยก็ยังต้องเสี่ยงกับการกวดขันจับกุมของตำรวจ ดังที่ รามซีน (Ramseen) พ่อค้าขายของใช้ทั่วไปในบ้าน เล่าว่า บางครั้งเมื่อทำการค้าบนทางเท้า ตำรวจจะขอให้เราย้ายสินค้าและเต็นท์ชั่วคราว ซึ่งตนก็เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ต้องทำตามกฎหมาย ทั้งนี้ แม้จะมีท่าทีจากนักการเมือง แต่ปัจจุบันศรีลังกายังไม่มีกฎระเบียบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการขายสินค้าบนทางเท้า ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามไปยังสำนักงานเทศบาลกรุงโคลัมโบ แต่ก็ยังไม่สามารถขอข้อมูลกฎระเบียบในปัจจุบันได้
บนถนน ผู้ค้าไม่ได้รับอนุญาตให้กีดขวางการจราจรหรือทางม้าลาย ดังนั้นในชั่วโมงเร่งด่วน ตำรวจจะเคลียร์ผู้ค้าออกจากท้องถนน และแม้ว่าผู้ค้าจะแบ่งปันความกังวลของผู้ประท้วงบางคน แต่การเดินขบวนโดยสหภาพแรงงานของทุกอาชีพและการค้ากำลังก่อให้เกิดปัญหาเพิ่มเติม เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงระดมกำลังกันมาปิดเส้นทาง นั่นทำให้พวกเขาสูญเสียการค้าเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังคงมีอยู่
ผู้ค้ารายหนึ่งให้ความเห็นว่า นับตั้งแต่ศรีลังกาได้รับเอกราชในปี 2491 การค้าขายข้างถนนก็เริ่มดำเนินการในย่านใจกลางกรุงโคลัมโบแล้ว แต่รัฐบาลไม่ว่าชุดใดๆ ก็ไม่เคยให้ความสำคัญกับการจัดสรรพื้นที่ค้าขาย ซึ่งการมีระบบจ่ายค่าเช่าพื้นที่จะทำให้ผู้ค้าประกอบอาชีพได้อย่างไม่ต้องหวากกลัว นอกจากนั้น ศรีลังกายังไม่มีการรวมตัวเป็นเครือข่ายสมาคมของผู้ประกอบอาชีพหาบเร่แผงลอยเพื่อเพิ่มอำนาจในการเจรจาต่อรอง
ย้อนไปเมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2566 มีการประชุมที่สำนักเลขาธิการประธานาธิบดี ระหว่างสมาคมพ่อค้าในกรุงโคลัมโบ ร่วมกับสมาคมหาบเร่แผงลอย (ซึ่งเป็นตัวแทนจากกลุ่มร้านค้าขนาดใหญ่) เพื่อหาทางออกเรื่องการขายสินค้าบนทางเท้า สากล รัตนายัค (Sagala Ratnayake) ที่ปรึกษาอาวุโสด้านความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีและหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประธานาธิบดีได้ให้คำรับรองระหว่างการประชุม การประชุมครั้งนี้ได้มีการหารือถึงการออกบัตรประจำตัวผู้ค้าและหาบเร่แผงลอยด้วย
รายงานข่าวทิ้งท้ายที่ร้านขายดอกไม้ของ เศวตวารี เธอกล่าวว่า ก่อนหน้านี้สามีดูแลร้านมาเป็นเวลา 20 ปี กระทั่งเสียชีวิตอย่างกระทันหันเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตนจึงเข้ามารับช่วงต่อแทน ปัจจุบันมีลูก 3 คนเข้าโรงเรียน แต่ด้วยบ้านเช่าของเธอราคา 20,000 รูปี (ประมาณ 2,400 บาท) ต่อเดือน ปัญหาทางการเงินของเธอจึงทวีคูณขึ้น ซึ่งแม้จะมีความมุ่งมั่น แต่ความฝันของผู้หญิงที่ทำงานอิสระคนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นภาพลวงตา
ขอบคุณภาพและเรื่องจาก : https://www.themorning.lk/articles/olu4xoLPyPLJmRU40Wna
ข่าวที่เกี่ยวข้อง ชาวศรีลังกาแห่ออกนอกประเทศ หลังบ้านเกิดเจอวิกฤติ‘ไร้งาน-เงิน-อาหาร’
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี