สื่อนอกจับตา"ไทย" หวั่น"ทัวร์ศูนย์เหรียญ"คืนชีพ แนะเข้มปราบ"จีนเทา"ปกป้องภาคการท่องเที่ยว
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2566 ThinkChina สำนักข่าวออนไลน์ภาคภาษาอังกฤษในเครือ นสพ. Lianhe Zaobao ของสิงคโปร์ เผยแพร่บทความ Chinese tourists return to Thailand on ‘zero-fare tours’, and locals aren’t happy ซึ่งเขียนโดย คลอเดีย เหลียว (Claudia Liao) ผู้สื่อข่าวของ Lianhe Zaobao ว่าด้วยประเทศไทยอาจเผชิญกับการคืนชีพของ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ (Zero-fare Tour)” ภายหลังจีนเปิดประเทศให้พลเมืองเดินทางไปเที่ยวต่างแดนได้ และประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญ
บทความเริ่มต้นด้วยการอ้างถึงราคาตั๋วเครื่องบินจากกวางโจวไปกรุงเทพฯ ประมาณกลางเดือน ก.ค. 2566 อยู่ที่อย่างน้อย 1,000 หยวน (ประมาณ 5 พันบาท) แต่บริษัทนำเที่ยวบางแห่งเสนอแพ็คเกจทัวร์ 6 วัน 5 คืนในราคาเพียง 999 หยวน (ไม่เกิน 5 พันบาท) รวมตั๋วเครื่องบิน ที่พักระดับ 5 ดาว อาหาร และไกด์ แพ็คเกจท่องเที่ยวราคาถูกเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นธุรกิจที่ขาดทุน แต่สามารถพบได้ในเว็บไซต์ท่องเที่ยวของจีนหลายแห่ง และบริษัทนำเที่ยวหลายแห่งก็ส่งเสริมอย่างจริงจัง
- อะไรคือทัวร์ศูนย์เหรียญ? : กรุ๊ปทัวร์ประเภทนี้กำลังดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยราคาที่ต่ำมาก แต่ในทางกลับกัน นักท่องเที่ยวจะถูกพาไปยังจุดช้อปปิ้งที่กำหนดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเดินทาง เพื่อให้บริษัทนำเที่ยวสามารถเรียกคืนค่าใช้จ่ายจากค่าคอมมิชชั่นการขายได้ เช่น ทริป 6 วัน 5 คืนที่น่าหลงใหลไปกรุงเทพและพัทยาในราคา 999 หยวน บริษัทนำเที่ยวแจ้งฉันว่ากำหนดการเดินทางมีจุดแวะช้อปปิ้งที่กำหนดไว้ 3 แห่ง ซึ่งไกด์มักจะพานักท่องเที่ยวไปซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องนอนที่ทำจากยางพารา ผ้าไหม หรือยารักษาโรค
แม้ว่าการช้อปปิ้งจะหยุดลง แต่ทัวร์ศูนย์เหรียญยังคงน่าดึงดูดใจเนื่องจากต้นทุนที่ต่ำ แพ็คเกจทัวร์ในไทยแบบไม่ต้องซื้อของ โดยทั่วไปจะมีราคาประมาณ 2,500-3,000 หยวน (ประมาณ 12,500-15,000 บาท) ซึ่งรวมตั๋วเครื่องบิน หรือ 4,000 หยวน (ประมาณ 2 หมื่นบาท) ในช่วงวันหยุดฤดูร้อน ไม่รวมค่าธรรมเนียมวีซ่าและทิป เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วทัวร์ช้อปปิ้งมีราคาเพียงครึ่งเดียวหรือน้อยกว่านั้น
- นักท่องเที่ยวจีนสำคัญอย่างไรต่อประเทศไทย? : จากข้อมูลของเว็บไซต์ท่องเที่ยวจีนหลายแห่ง ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีน ในปี 2566 นักท่องเที่ยวจีนกว่า 1 ล้านคนเดินทางไปเที่ยวที่เมืองไทย และความต้องการที่แข็งแกร่งทำให้เกิดตลาดขนาดใหญ่สำหรับทัวร์ศูนย์เหรียญ รัฐบาลไทยคาดว่าจะต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน 5 ล้านคนในปีนี้ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 446,000 ล้านบาท (12,780 ล้านเหรียญสหรัฐ) ขึ้นอยู่กับจำนวนเที่ยวบินในช่วงฤดูท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าประเทศไทยอาจสูงถึง 7 ล้านคน
ภาคการท่องเที่ยวเป็นเสาหลักที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด และนักท่องเที่ยวชาวจีนก็เป็นหนึ่งในแหล่งที่มาหลักของการท่องเที่ยวในประเทศไทย จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะเป็นตัวกำหนดจังหวะการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทย และแม้กระทั่งความเร็วที่เศรษฐกิจไทยจะพ้นจากเงามืดของสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19
- ไปกับ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” นักท่องเที่ยวถูกบังคับให้ต้องจ่ายสารพัด: แม้ทัวร์ต้นทุนต่ำจะนำนักท่องเที่ยวจีนมาไทย แต่ก็สร้างผลกระทบทางลบต่อผู้เกี่ยวของกับการท่องเที่ยวของไทยเช่นกัน เมื่อทัวร์ศูนย์เหรียญของจีนมายังประเทศไทยแพร่หลายตั้งแต่เมื่อ 7-8 ปีก่อน มีเหตุการณ์เชิงลบหลายอย่าง รวมถึงไกด์นำเที่ยวบังคับให้นักท่องเที่ยวซื้อสินค้า ดูถูก ข่มขู่ และแม้กระทั่งทำร้ายร่างกายหรือทิ้งนักท่องเที่ยวไว้กลางทางหากขัดขืนหรือจ่ายเงินน้อยกว่าที่ต้องการ
ฟู่เหวินเฉียน (Fu Wenqian) ครูสาววัย 24 ปี จากมณฑลกวางตุ้งของจีน เปิดเผยว่า ตนเคยใช้บริการทัวร์ราคาต่ำเดินทางไปยังพื้นที่มองโกเลียใน อันเป็นเขตปกครองตนเองของจีนทางภาคเหนือ แล้วต้องเจอกับเรื่องราวแย่ๆ นั่นคือทุกที่ที่เดินทางไปล้วนต้องจ่ายเงินทั้งสิ้น เพราะไม่มีอะไรเลยที่ถูกรวมอยู่ในค่าเดินทางกับทัวร์ อาทิ เมื่อลูกทัวร์ไปถึงทุ่งหญ้า ไกด์บอกว่าต้องจ่ายค่ารถออฟโรดเพื่อไปต่อ หรือต้องรอคนอื่นจนค่ำ มันเป็นธุรกรรมที่ถูกบังคับ และในที่สุดตนก็ใช้เงินไป 1,000-2,000 หยวน (ประมาณ 5,000-10,000 บาท) ซึ่งตนรู้สึกว่าถูกโกง
“หลังจากประสบการณ์ในมองโกเลียใน ฉันจะไม่คิดที่จะเข้าร่วมทัวร์ราคาถูกมากแบบนี้อีกเลยแม้แต่น้อยกับการเดินทางไปประเทศไทย เพราะเมื่อคุณไม่เข้าใจภาษาและไม่คุ้นเคยกับสถานที่นั้น คุณก็จะตกอยู่ในสภาพที่แล้วแต่ความเมตตาในการจัดเตรียมของมัคคุเทศก์” ฟู่ กล่าว
- ทัวร์ศูนย์เหรียญสร้างห่วงโซ่ธุรกิจแบบปิด : เมื่อเร็วๆ นี้ สื่อไทยให้ความสนใจกับการท่องเที่ยวแบบเหมาจ่ายจากจีน โดยวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มทัวร์เหล่านี้ว่าบังคับให้นักท่องเที่ยวจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าและบริการที่มีคุณภาพต่ำ ซึ่งทำลายชื่อเสียงของภาคการท่องเที่ยวไทย ดังที่ ศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร (Sisdivachr Cheewarattanaporn) นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) กล่าวว่า ทัวร์ศูนย์เหรียญสร้างความเสียหายมากกว่าทัวร์ที่จัดโดยบริษัทนำเที่ยวผิดกฎหมาย เนื่องจากส่งผลกระทบระยะยาวมากกว่า
เป็นที่ทราบกันดีว่าบริษัททัวร์บางแห่งจ้างไกด์ชาวจีนอย่างผิดกฎหมายเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่นั่นคือการแย่งโอกาสในการทำงานจากไกด์ชาวไทยในท้องถิ่น อีกทั้งยังสร้างเครือข่ายธุรกิจแบบปิด โดยนักท่องเที่ยวจะถูกพาไปยังโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าเฉพาะภายในเครือข่ายนี้เท่านั้น ซึ่งไม่เอื้อต่อการพัฒนาโดยรวมของธุรกิจภาคการท่องเที่ยว และมีรายงานว่าสถานที่เหล่านั้นส่วนใหญ่ดำเนินการโดยนักธุรกิจชาวจีน
บทความอ้างการเปิดเผยของ ยุทธศักดิ์ สุภสร (Yuthasak Supasorn) ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่กล่าวกับ นสพ.บางกอกโพสต์ สื่อท้องถิ่นในไทยที่รายงานข่าวภาคภาษาอังกฤษ ว่า ห่วงโซ่ธุรกิจการท่องเที่ยวแบบปิดเพิ่งเกิดขึ้นใหม่หลังสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เมื่อไม่นานมานี้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวกำลังเป็นกระแส รายได้จากการท่องเที่ยวเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเข้าสู่กระเป๋าของผู้ประกอบการไทย ในขณะที่ส่วนใหญ่จะไหลไปต่างประเทศ
“จำเป็นต้องควบคุมกลุ่มทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่ยอมรับว่าเป็นการยากที่เจ้าหน้าที่จะสืบสวนหรือปราบปรามบริษัทนำเที่ยวเหล่านี้หากจดทะเบียนและดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย” ผู้ว่าฯ ททท. กล่าว
- ทางการไทยและจีนตอบสนองต่อทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างไรบ้าง? : การกลับมาของทัวร์ศูนย์เหรียญได้รับความสนใจจากรัฐบาลไทย หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของไทยวางแผนที่จะใช้มาตรการที่ครอบคลุมเพื่อต่อสู้กับปัญหานี้ และกำลังเตรียมลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับรัฐบาลจีนเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน
ในปี 2559 รัฐบาลไทยเสนอมาตรการเพื่อปราบปรามกลุ่มทัวร์ศูนย์เหรียญ รวมทั้งกำหนดค่าธรรมเนียมขั้นต่ำอย่างน้อย 1,000 บาท (29 เหรียญสหรัฐ) ต่อคนต่อวัน และจำกัดค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมเสริมส่วนบุคคลที่ 3,000 บาท เพื่อป้องกัน ค่าใช้จ่ายที่มากเกินไป ทางการไทยกล่าวว่ามาตรการเหล่านี้ทำให้รายได้ภาษีเพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 ล้านบาทในปี 2560 เมื่อเทียบกับปี 2559
ในเดือน เม.ย. 2566 ททท. เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศไทยและรัฐบาลจีน ว่าด้วยรายชื่อบริษัทนำเที่ยวที่ถูกต้องตามกฎหมาย 189 แห่งที่ทำงานร่วมกับบริษัทจีน โดยบริษัทนำเที่ยวที่ไม่อยู่ในรายชื่อจะได้รับการตรวจสอบอย่างรอบด้านและต้องจัดเตรียมเอกสารประกอบการดำเนินธุรกิจของตนเพื่อนำเสนอบริการด้านการท่องเที่ยวต่อไป ทางการไทยยังเตือนด้วยว่า ผู้ประกอบการท่องเที่ยวชาวจีนรายใดก็ตามที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในลักษณะบริษัทนอมินีหรือดำเนินการแบบทัวร์ศูนย์เหรียญ หรือใช้ไกด์ต่างชาติ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
อีกด้านหนึ่ง พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา (Apichart Suriboonya) รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวของไทย เปิดเผยว่า การร้องเรียนเกี่ยวกับกิจกรรมการท่องเที่ยวที่ผิดกฎหมายส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ และภูเก็ต ซึ่งไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักเดินทางจากยุโรปตะวันออกและอเมริกาใต้ด้วยที่เข้าร่วมกรุ๊ปทัวร์ศูนย์เหรียญและใช้ไกด์เถื่อนรวมถึงบริการจากบริษัทนอมินี ทั้งนี้ ไทยและจีนได้จัดทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน และไทยมีส่วนร่วมในการสื่อสารและประสานงานอย่างสม่ำเสมอกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของจีนเพื่อติดตามและควบคุมธุรกิจผิดกฎหมายที่ดำเนินการโดยตัวแทนชาวจีน
- ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในไทยต้องดิ้นรน : การรุกคืบของทัวร์ศูนย์เหรียญ ประกอบกับการที่นักท่องเที่ยวจีนยังเดินทางกลับมาไทยไม่เต็มที่ ทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทยต้องค้นหาแหล่งลูกค้าใหม่ๆ รวมถึงตลาดยุโรป อาทิ ผู้ประกอบการของบริษัทนำเที่ยวขนาดเล็กใน จ.เชียงใหม่ ทางภาคเหนือของไทย ซึ่งดำเนินธุรกิจมากว่า 10 ปี กล่าวว่า บริษัทของตนจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น ขี่ช้าง ล่องเรือ และชมการแข่งขันมวยไทย ซึ่งในยุคก่อนไวรัสโควิด-19 ระบาด มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นลูกค้าหลัก แต่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอนหลังเกิดโรคระบาด ปัจจุบันจึงให้บริการนักท่องเที่ยวชาวยุโรปเป็นหลัก
“ตั้งแต่จีนกลับมาเปิดให้ประชาชนออกมาท่องเที่ยวต่างประเทศอีกครั้ง ความต้องการจากนักท่องเที่ยวชาวจีนก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับระดับก่อนเกิดโรคระบาด คือประมาณครึ่งหนึ่งหรือหนึ่งในสามของตัวเลขก่อนหน้านี้ นักท่องเที่ยวชาวจีนส่วนใหญ่สมัครกรุ๊ปทัวร์กับเอเจนซี่ในจีนแล้ว หรือมีแผนการเดินทางเป็นของตนเอง นักท่องเที่ยวชาวจีนยังคำนึงถึงค่าใช้จ่ายมากขึ้นและชอบที่จะใช้จ่ายกับแพ็คเกจท่องเที่ยวน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด” ผู้ประกอบการรายนี้ ระบุ
การปรากฏขึ้นอีกครั้งของกลุ่มทัวร์ศูนย์เหรียญสร้างความกังวลอย่างมากให้กับผู้ประกอบการรายดังกล่าว เนื่องจากการดำเนินการแบบวงปิดนี้จะพานักท่องเที่ยวไปยังร้านค้าของธุรกิจชาวจีนเท่านั้น ทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยรายเล็กอาจสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ และเพื่อความอยู่รอดจึงทำงานอย่างหนักเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากยุโรป ฮ่องกง และไต้หวัน และยังพัฒนาแพ็คเกจท่องเที่ยวขนาดเล็กมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว
Renjit บาริสต้าในร้านกาแฟแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ก็กังวลกับทัวร์ศูนย์เหรียญเช่นกัน เพราะมันได้กัดกินทรัพยากรของท้องถิ่นแต่ไม่ทำให้เศรษฐกิจท้องถิ่นเติบโตไปอย่างสอดคล้องกัน เช่นเดียวกับที่เมืองหลวงของไทยอย่างกรุงเทพฯ Chan เจ้าของบริษัททัวร์ที่เปิดกิจการมาแล้ว 10 ปี กล่าวว่า รายได้จากการบริโภคส่วนใหญ่ที่เกิดจากทัวร์ศูนย์เหรียญจะกลับไปหาผู้ประกอบการชาวจีน ทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวชาวไทยหาเงินได้ยาก ดังนั้นแม้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนจะเพิ่มขึ้น แต่ตนยังไม่มีแผนที่จะมองไปที่นักท่องเที่ยวเหล่านี้ โดยยังคงให้ความสำคัญกับลูกค้าจากยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย
- เส้นทางที่ไม่ราบรื่นของไทยในการฟื้นฟู : หนทางสู่การฟื้นตัวของธุรกิจภาคการท่องเที่ยวในไทยนั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย และการคืนชีพของทัวร์ศูนย์เหรียญมีแนวโน้มที่จะเป็นอุปสรรคสำคัญ โดย ภากร กัทชลี (Pagon Gatchalee) อาจารย์ภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า รัฐบาลไทยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาถึง 28 ล้านคนในปี 2566 แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการอาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายนี้ ทั้งความวุ่นวายหลังการเลือกตั้ง ข้อมูลเท็จและข่าวลือเกี่ยวกับอันตรายของการเดินทางมาประเทศไทย นักท่องเที่ยวที่รู้สึกว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูงขึ้น ตลอดจนการกลับมาของทัวร์ศูนย์เหรียญ
ภากร ยังตั้งข้อสังเกตว่า จำนวนเที่ยวบินระหว่างจีนและไทยยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่จนถึงระดับก่อนเกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 แค้อีกมุมหนึ่ง ในขณะที่โครงสร้างต้นทุนสูงของธุรกิจการท่องเที่ยวและการล่มสลายของธุรกิจวงปิดจำนวนมากในช่วงการระบาดใหญ่ได้ชะลอการฟื้นตัวของทัวร์ศูนย์แหรียญ จึงเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลไทยจะควบคุมไม่ให้ทัวร์ศูนย์เหรียญคืนชีพกลับมาได้อีก
“รัฐบาลควรเพิ่มความพยายามในการปราบปรามการลงทุนที่ผิดกฎหมายของจีนและผู้ประกอบธุรกิจในประเทศไทย นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของทัวร์ศูนย์เหรียญเท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความปลอดภัยของภาคการท่องเที่ยวไทยด้วย นอกจากทัวร์ศูนย์เหรียญแล้วยังมี ทัวร์พรีเมียมปลอม (Fake Premium Tour Group) ที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงเกินไปอีกด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งธุรกิจวงปิดที่ควบคุมโดยผู้ประกอบการชาวจีน ผมหวังว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์นี้มากขึ้น เพราะสิ่งนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยเฉพาะบริษัทนำเที่ยวรายย่อย” ภากร กล่าว
- รสนิยมที่เปลี่ยนไปของนักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ : เมื่อมองไปข้างหน้า ภากร เชื่อว่าทัวร์ศูนย์เหรียญจะรักษาความดึงดูดใจของนักท่องเที่ยววัยหนุ่ม-สาวที่มาเยือนประเทศไทยได้ยาก เนื่องจากพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนกำลังเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ มีนักเดินทางอิสระชาวจีนจำนวนมากขึ้นที่มาเยือนประเทศไทยตั้งแต่ปี 2560 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบเชิงลบของทัวร์ศูนย์เหรียญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย และนิสัยของคนรุ่นใหม่ในการรวบรวมข้อมูลและวางแผนการเดินทางด้วยตนเอง อีกทั้งคนรุ่นใหม่เต็มใจที่จะจ่ายมากขึ้นสำหรับสิ่งที่คิดว่าคุ้มค่า ซึ่งทัวร์ศูนย์เหรียญไม่ตอบโจทย์รสนิยมการท่องเที่ยวแบบนี้
รายงานจากสื่อสิงคโปร์ ทิ้งท้ายด้วย ฟู่ ครูสาวชาวจีนที่กำลังจะเดินทางมาประเทศไทยในเร็วๆ นี้ โดยกำลังดูคู่มือท่องเที่ยวจากแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อวางแผนการเดินทางของเธอ อย่างไรก็ตาม หากให้เลือก เธอบอกว่าเธอยังคงต้องการเข้าร่วมกรุ๊ปทัวร์แบบ “เที่ยวชมสถานที่ 100% (100% sightseeing)” เพื่อลดเวลาในการเตรียมทัวร์และแก้ปัญหาอุปสรรคด้านภาษา
“เมื่อเลือกกรุ๊ปทัวร์ การพิจารณาอันดับต้นๆ ของฉันคือมีการรับประกันว่าไม่มีการบังคับให้ใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นทัวร์เที่ยวชมสถานที่ 100% หรือไม่ ประการที่สอง ฉันจะตรวจสอบกำหนดการเดินทางและรีวิวของทัวร์ แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่จะใช้จ่ายมากขึ้นสำหรับทัวร์ระดับพรีเมียม เช่น บางอย่างที่แพงกว่าทัวร์ปกติ 1,000 หยวน ฉันรับได้” ครูสาวรายนี้ กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี