หรูหราในราคาย่อมเยา! สื่อนอกชี้อีกจุดขาย‘กรุงเทพฯ’ร้านอาหารชั้นเลิศจ่ายถูกกว่า‘นิวยอร์ก-ฮ่องกง’

3 ต.ค. 2566 นสพ.South China Morning Post ของฮ่องกง เสนอรายงานพิเศษ How Bangkok became an affordable fine-dining hub, drawing tourists with luxury experiences costing less than in cities like Hong Kong and New York ระบุว่า กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย กำลังกลายเป็นเมืองที่ได้รับความสนใจจากบรรดานักชิม เนื่องจากที่นั่นสามารถหาร้านอาหารที่มีบรรยากาศหรูหราได้ในราคาประหยัดกว่าอีกหลายเมืองทั่วโลก

ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่ร่ำรวยด้านวัฒนธรรมอาหารมานานแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะปรากฏในรุปแบบของอาหารริมทาง (Street Food) ขณะที่ Thitid Tassanakajohn เริ่มเปิดร้านอาหารสไตล์หรูหราอย่าง Le Du ในกรุงเทพฯ ในปี 2556 ด้วยอาหาร 4 คอร์ส ในราคา 990 บาท หรือ 33 เหรียญสหรัฐ ซึ่งในเวลานั้นถือว่าเป็นราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับร้านอาหารระดับเดียวกันในต่างประเทศ 

ล่าสุด ในปี 2566 ร้าน Le Du ได้รับการรับรองเครื่องหมาย “ดาวมิชลิน” โดยมิชลินไกด์ และติด 1 ใน 50 ร้านอาหารที่ดีที่สุดจองทวีปเอเชีย ขณะที่ Nusara ซึ่งเป็นร้านอาหารอีกแห่งหนึ่งที่ Thitid เป็นเจ้าของ ก็คว้าอันดับ 3 ในการจัดอันดับรายการเดียวกัน ทั้ง 2 ร้าน ซึ่งกำลังไต่อันดับร้านอาหารที่ดีที่สุดทั้งในระดับภูมิภาคและนานาชาติ ได้เปลี่ยนจุดหมายปลายทางที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกสำหรับการรับประทานอาหารราคาถูกให้กลายเป็นแหล่งเรียกร้องสำหรับนักชิมที่กำลังมองหาประสบการณ์สุดหรูควบคู่ไปกับเมนูอย่างข้าวมันไก่ 

ร้านอาหารของ Thitid  ให้บริการอาหารสำหรับนักเดินทางที่สนใจเรื่องการทำอาหารซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก่อนที่โลกจะเผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ภาคส่วนดังกล่าวเคยคิดเป็นประมาณร้อยละ 11.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทย ล่าสุด ในปี 2566 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้ารายได้ 2.3 ล้านล้านบาท (6.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ) โดยร้อยละ 20 มาจากอาหาร และมีเป้าหมายด้านอาหารเพื่อครองสัดส่วนร้อยละ 25 ของการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวภายในปี 2570

นิโคลา มาร์แชล (Nicola Marshall) ผู้ออกแบบและดูแลทัวร์ทำอาหารที่ Intrepid บริษัทท่องเที่ยวระดับโลกที่ตั้งอยู่ในออสเตรเลีย กล่าววว่า สิ่งที่ตนเห็นจากนักเดินทางคือพวกเขาสนใจและต้องการผสมผสานประสบการณ์การรับประทานอาหารรสเลิศที่ร้านอาหารต่างๆ เข้ากับประสบการณ์อาหารท้องถิ่นชั้นเลิศ ลูกค้าอาจบินเข้ากรุงเทพฯ  1-2 วันก่อนทัวร์และจองร้านอาหารหรูก่อนออกเดินทางพร้อมไกด์ซึ่งเต็มไปด้วยอาหารราคาไม่แพง

สมประวิณ มันประเสริฐ (Somprawin Manprasert) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารไทยพาณิชย์ หนึ่งในสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของไทย ตั้งข้อสังเกตว่า ในขณะที่นักการเมืองไทยมักบอกว่าประเทศต้องการนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง ซึ่งหมายความถึงนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง แต่คำถามคือแล้วไทยมีสถานที่หรูหราเพียงพอสำหรับพวกเขาหรือไม่? นั่นคือเหตุผลที่ตนคิดว่าการมีร้านอาหารหรูในประเทศไทยมากขึ้น จะสร้างโอกาสที่ดีที่ช่วยให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายก้อนโตได้

ปัจจุบัน ร้านอาหารในกรุงเทพฯ 6 แห่งที่ได้รับการจัดอันดับโดยมิชลินไกด์ในหมวดราคา “โอกาสพิเศษ (special occasion)” และ “จ่ายได้เต็มที่ (Spare no Expense)" จะได้รับ 2 ดาว และร้านอาหารกว่า 20 แห่งมี 1 ดาว ส่วนร้านอาหาร 9 แห่งในกรุงเทพฯ ปรากฏอยู่ในรายชื่อ 50 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชียล่าสุด เทียบกับ 6 แห่งในโตเกียวและ 5 แห่งในฮ่องกง โดย Le Du ได้อันดับหนึ่งของกรุงเทพฯ ส่วนการจัดอันดับ 50 อันดับแรกของโลกโดยรวม อยู่ที่อันดับที่ 15 ขณะที่ Gaggan Anand ที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดียเข้ามาอยู่ในอันดับที่ 17

ขณะนี้ร้านอาหารที่มีดาวมิชลินสามารถพบได้มากมายในกรุงเทพฯ ซึ่ง มาเธียส เซอร์ริง (Mathias Suhring) หนึ่งในพี่น้องฝาแฝดชาวเยอรมนีที่ดูแลร้านอาหารเยอรมันร่วมสมัยระดับ 2 ดาวมิชลินอย่าง Suhring เปิดเผยว่า ขณะนี้บรรดาเชฟในกรุงเทพฯ กำลังแข่งขันกันว่าใครจะเป็นคนแรกที่สามารถคว้าระดับ 3 ดาวได้ ทั้งนี้ การได้รับเกียรติดังกล่าวทำให้ชื่อเสียงของกรุงเทพฯ แข็งแกร่งขึ้นในฐานะสถานที่สำหรับเสิร์ฟอาหารราคาแพง แต่ก็ยังจ่ายน้อยกว่าเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมศูนย์อาหารอย่างนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา รวมถึงเกาะฮ่องกง

แม้มื้ออาหารอาจจะดูแพง หากวัดจากอาหารทั่วๆ ไปในเมืองอย่างหมูปิ้งหรือผัดไทยที่มีราคาเพียงไม่กี่เหรียญสหรัฐ แต่ต้นทุนก็ยังต่ำกว่าอีกหลายเมืองในโลก อาหารค่ำที่ Noma ในกรุงโคเปนเฮเกน เมืองหลวงของเดนมาร์ก หนึ่งในร้านอาหารที่ติดอันดับต้นๆ ของโลก ราคา 5,950 โครนเดนมาร์ก (840 เหรียญสหรัฐ) ต่อคน พร้อมไวน์ที่เสิร์ฟคู่กัน ขณะที่ที่ Gaggan Anand ราคาประมาณ 325 เหรียญสหรัฐต่อคน รวมเครื่องดื่มด้วย

Gaggan Anand เชฟชาวเมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย เป็นเชฟต่างชาติกลุ่มแรกๆ ที่เปิดร้านอาหารในกรุงเทพฯ โดยร้านของเขาเปิดมานานแล้วกว่า 10 ปี กล่าวว่า ความหรูหราที่นี่ถูกกว่า เข้าถึงได้ง่ายกว่า และราคาไม่แพงกว่า ที่ประเทศไทย ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) บรรดาเชฟสามารถตั้งราคาอาหารได้ถูกลงส่วนหนึ่ง ด้วยการใช้ประโยชน์จากต้นทุนที่ต่ำกว่าในการตั้งและดำเนินกิจการร้านอาหาร

กรุงเทพฯ เป็นสถานที่น่าดึงดูดสำหรับเชฟผู้ทะเยอทะยานแต่อาจไม่มีเงินทุนมากพอที่จะไปเริ่มธุรกิจที่อื่น ร้านอาหารระดับไฮเอนด์ของเมืองยังได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านอุปทานอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันร้านอาหารหรูยังสามารถเข้าถึงวัตถุดิบคุณภาพสูงในภูมิภาค ตั้งแต่อาหารทะเล ผัก หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งในอดีตอาจต้องนำเข้า

นอกจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามามากมายแล้ว คนในท้องถิ่นยังยอมรับสถานะใหม่ของเมืองในฐานะศูนย์กลางการรับประทานอาหารชั้นเลิศ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งประเทศในทวีปเอเชียมีมาตรการควบคุมชายแดนที่เข้มงวดที่สุดในโลก นั่นทำให้ชาวไทยที่ไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศ ไปยังประเทศหรือดินแดนที่โดดเด่นด้านอาหาร เช่น จีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ได้เริ่มสำรวจร้านอาหารใกล้บ้าน ซึ่งก็ไม่ต่างจากผู้คนในหลายประเทศของเอเชีย

ไทยก็เหมือนกับอีกหลายประเทศที่ยังคงเร่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบโรคระบาด ซึ่งภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากประเทศจีนกำลังฟื้นตัว แต่ก็ยังไม่ถึงระดับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด ชาวจีนมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของจำนวนนักท่องเที่ยวเกือบ 40 ล้านคนที่ไปเยือนไทยในปี 2562 และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม การส่งเสริมเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับ เศรษฐา ทวีสิน (Srettha Thavisin) นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย ซึ่งได้กำหนดมาตรการบางอย่าง เช่น การเข้าประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่าสำหรับนักเดินทางชาวจีน

การหยุดชะงักทางการเมืองในประเทศไทยยังสร้างความวุ่นวายให้กับตลาดอีกด้วย ก่อนที่เศรษฐาจะขึ้นสู่อำนาจในเดือน ส.ค. 2566 ประเทศไทยใช้เวลาหลายเดือนภายใต้รัฐบาลรักษาการซึ่งมีความสามารถในการผ่านนโยบายหรืออนุมัติการใช้จ่ายอย่างจำกัด แต่ในเวลาเดียวกัน สถานที่ท่องเที่ยวด้านอาหารและการท่องเที่ยวระดับภูมิภาคที่แข่งขันกัน เช่น กรุงโตเกียวของญี่ปุ่น รวมถึงประเทศสิงคโปร์ ได้เปิดขึ้นอีกครั้ง

ร้านอาหารยังคงดิ้นรนเพื่อฟื้นธุรกิจให้กลับไปอยู่ในจุดเดียวกันช่วงก่อนเกิดโรคระบาด ที่ร้าน Gaggan Anand ปัจจุบันเปิดให้บริการเพียง 4 วันต่อสัปดาห์หรือประมาณ 1 ใน 3 ของความจุก่อนหน้านี้ ขณะที่ Thitid กล่าวว่า ราคาผัก เนื้อสัตว์ อาหารทะเล และน้ำมันปรุงอาหารเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 20 นับตั้งแต่เกิดโรคระบาด ส่วนค่าจ้างพนักงานก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 10-15 เนื่องจากอุปทาน (Supply) แรงงานของประเทศลดน้อยลง

นั่นทำให้ร้านLe Du จำเป็นต้องปรับขึ้นราคาร้อยละ 25 สำหรับเมนูชุด หรือเทียบเท่ากับประมาณ 125 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4,200 บาท) แม้ว่าการแข่งขันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจะทวีความรุนแรงมากขึ้นก็ตาม ที่ร้านอาหารแห่งนี้ ปัจจุบันมีลูกค้าเป็นชาวไทย ร้อยละ 25 ส่วนอีก 1 ใน 4 มาจากฮ่องกงและสิงคโปร์ และที่เหลือส่วนใหญ่เป็นลูกค้าจากยุโรปและสหรัฐฯ

รายงานข่าวทิ้งท้ายด้วยความเห็นของ Thitid ว่า การแข่งขันจะยังคงรุนแรงต่อไปสำหรับเชฟทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และในไม่ช้าก็อาจมีคู่แข่งมากขึ้น แม้ว่ากรุงเทพฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางด้านอาหารของประเทศ แต่คู่มือมิชลินประเทศไทยฉบับปี 2567 จะขยายขอบเขตให้กว้างขึ้น ซึ่งรวมถึงเกาะที่เป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยวอย่างเกาะสมุย ในพื้นที่ จ.สุราษฎ์ธานี ด้วย

ขอบคุณที่มา scmp