‘สำนักข่าวเทียม’ระบาดใน‘สหรัฐ’ ผลการศึกษาพบกลุ่มหนุนขั้วการเมืองสวมรอย หวั่นกระทบศึกชิงเก้าอี้ปธน.
13 มิ.ย. 2567 นสพ.The Express Tribune ของปากีสถาน รายงานข่าว Fake news sites outnumber US newspapers, study finds. อ้างผลการศึกษาจาก Newsguard บริษัทในสหรัฐอเมริกา ผู้ให้บริการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งพบว่า มีการระบาดของ “สำนักข่าวเทียม” ในสหรัฐฯ และจำนวนมากเป็นการกระทำโดยกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคหรือขั้วการเมือง (Partisan) โดยแอบอ้างเป็น “สำนักข่าวอิสระ” ในท้องถิ่น
รายงานของ Newsguard ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2567 พบเว็บไซต์อย่างน้อย 1,265 แห่ง ที่มีข้อสังเกตว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่เดือนผ่านมา มีเว็บไซต์หลายร้อยแห่งที่เลียนแบบสำนักข่าว ซึ่งหลายแห่งใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทำให้ข้อมูลข่าวสารเต็มไปด้วยเรื่องเล่าแบบแบ่งขั้ว-เลือกข้าง (Polarize) ไปจนถึงการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ (False) ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างมาก เนื่องจากสหรัฐฯ กำลังจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในปลายปี 2567 นี้
เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลจากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น รัฐอิลลินอยส์ ที่ระบุว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา มีเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ที่เป็นสื่อท้องถิ่นในสหรัฐฯ 1,213 แห่ง เท่ากับว่า เว็บไซต์สำนักข่าวเทียมมีปริมาณใกล้เคียงกับสำนักข่างจริง ในอัตราส่วนเกือบจะ 50-50 ดังนั้นรายงานของ Newsguard จึงเตือนว่า หากเห็นเว็บไซต์ข่าวที่อ้างว่าครอบคลุมข่าวท้องถิ่น ก็มีโอกาสมากที่นั่นจะเป็นสำนักข่าวเทียม
ข้อมูลจากเว็บไซต์ Axios สำนักข่าวออนไลน์ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในเมืองอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย ระบุว่า เกือบครึ่งหนึ่งของสื่อที่จัดทำโดยผู้สนับสนุนขั้วการเมือง พุ่งเป้าไปที่มลรัฐซึ่งไม่มีพรรคการเมืองใดครองเสียงแบบเด็ดขาด และดูเหมือนจะเป็นความพยายามบิดเบือนความเชื่อทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในเดือน พ.ย. 2567 ที่คาดว่าจะเป็นการแข่งขันกันระหว่าง โจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน จากพรรคเดโมแครต กับ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) อดีตประธานาธิบดี จากพรรครีพับลิกัน
สำหรับผู้ที่คาดว่าอยู่เบื้องหลังเว็บไซต์สำนักข่าวเทียมเหล่านี้ รายงานของ Newsguard อ้างว่า มี 167 แห่ง เกี่ยวข้องกับเครือข่ายเว็บไซต์ให้ข้อมูลบิดเบือนของรัสเซีย และอ้างด้วยว่าเกี่ยวข้อง กับ จอห์น มาร์ค ดูแกน (John Mark Dougan) อดีตเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ ที่ลี้ภัยอยู่ในรัสเซีย ขณะที่เว็บไซต์อื่นๆ มีทั้งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายและฝ่ายอนุรักษ์นิยม
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า สำนักข่าวเทียมเหล่านี้เกิดชึ้นท่ามกลางการลดลงอย่างรวดเร็วของสื่อมวลชนท้องถิ่น ซึ่งหลายสำนักต้องปิดตัวลงหรือเลิกจ้างพนักงานจำนวนมากเนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์นเมื่อปี 2566 ระบุว่า 204 เทศมณฑลจากทั้งหมด 3,000 เทศมณฑลในสหรัฐฯ เป็น “ดินแดนแห้งแล้งข่าว (News Desert)” หมายถึงไม่มีสำนักข่าวท้องถิ่นทั้งที่เป็นหนังสือพิมพ์หรือเว็บไซต์ ไม่มีห้องข่าววิทยุสาธารณะ ไม่มีสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับชาติพันธุ์
เมื่อเน้นไปที่สื่อหนังสือพิมพ์ ผลการศึกษาเดียวกันยังกล่าวด้วยว่า หนังสือพิมพ์ในสหรัฐฯ ยังคงหายไปอย่างต่อเนื่องในอัตราเฉลี่ยมากกว่า 2 ฉบับต่อสัปดาห์ และหากนับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา อาชีพนักข่าวหนังสือพิมพ์ในสหรัฐฯ หายไปแล้วเกือบ 2 ใน 3 ขณะที่รายงานของ Newsguard ให้ข้อสรุปว่า เมื่อหนังสือพิมพ์แบบดั้งเดิมหายไป บรรดาสำนักข่าวเทียมเหล่านี้ก็กำลังเร่งเข้ามาเพื่อเติมเต็มช่องว่าง ผลที่ตามมาก็คือ ชาวอเมริกันหลายล้านคนถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการรายงานข่าวในท้องถิ่นที่ถูกต้อง
รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า กลุ่มผู้สนับสนุนขั้วการเมืองที่สร้างสำนักข่าวขึ้นมา ที่ผ่านมาต้องอาศัยแรงงานคนในฐานะนักเขียน กระทั่งระยะหลังๆ ที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สามารถทำได้ในราคาถูกกว่าและในเวลาที่รวดเร็วกว่า ในการสร้างเนื้อหาซึ่งมักจะยากต่อการถอดรหัสจากข้อมูลที่แท้จริง เว็บไซต์เหล่านี้ได้เน้นย้ำถึงศักยภาพของเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่น แชทบอท โปรแกรมสร้างภาพ โปรแกรมลอกเลียนแบบเสียง เพื่อเร่งข้อมูลที่ผิดในขณะที่ทำลายความไว้วางใจในสื่อแบบดั้งเดิม
ขอบคุณเรื่องจาก tribune.com.pk
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี