2 มี.ค. 2568 สำนักข่าว Firstpost ของอินเดีย รายงานข่าว Nicaragua withdraws from Migration and Labour Organizations amid human rights criticism ระบุว่า ผู้นำร่วมของประเทศนิการากัว คือ โรซาริโอ มูริลโล (Rosario Murillo) สตรีหมายเลข 1 ซึ่งบริหารประเทศคู่กับประธานาธิบดี แดเนียล ออร์เตกา (Daniel Ortega) เปิดเผยเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2568 ว่า นิการากัวจะถอนตัวจาก 2 หน่วยงานสำคัญขององค์การสหประชาชาติ (UN) คือ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) และ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)
มูริลโล ให้เหตุผลว่า องค์กรทั้ง 2 ไม่ได้เติมเต็มภารกิจที่ก่อตั้งขึ้นมา และขอยืนยันการปฏิเสธการดูหมิ่น ความผิด ความเท็จ การรุกราน รวมทั้งมาตรฐานสองต่อของการเมืองแบบอาณานิคมที่ควบคุมการกระทำขององค์กรเหล่านี้ ซึ่งท่าทีของภริยา ปธน.นิการากัว เกิดขึ้น 1 วันหลังรัฐบาลของออร์เตกา ประกาศถอนตัวจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) หลังผู้เชี่ยวชาญขององค์กรดังกล่าว ระบุว่านิการากัวมีสถานการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง
ในประเด็นเกี่ยวกับ ILO สตรีหมายเลข 1 ของนิการากัว อธิบายว่า ILO ได้ดำเนินการในลักษณะที่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดความไม่มั่นคงและแทรกแซง เมื่อประเมินข้อร้องเรียนจากนายจ้างและลูกจ้างเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิแรงงาน ส่วนกรณีของ IOM คือการให้ข้อมูลเท็จ เป็นพิษเป็นภัย และไม่รับผิดชอบ เกี่ยวกับนิการากัวในรายงานประจำปีเกี่ยวกับการอพยพ อนึ่ง ก่อนหน้านี้ รัฐบาลนิการากัว ยังขู่จะถอนตัวออกจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) หลังมีการเผยแพร่รายงานปัญหาขาดแคลนอาหารในประเทศแถบอเมริกากลางแห่งนี้
ปธน.ออร์เตกา ในวัย 79 ปี ใช้วิธีการปกครองแบบอำนาจนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยควบคุมทุกภาคส่วนของรัฐอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น และมีภริยาวัย 73 ปีอย่างมูริลโลเป็นผู้สนับสนุน ซึ่งนักวิจารณ์ระบุว่าเป็นการปกครองแบบเผด็จการที่อิงกับระบบครอบครัวพวกพ้อง (Nepotistic Dictatorship) ทั้งนี้ ออร์เตกา ในช่วงวัยหนุ่มเคยถูกยกย่องเป็นวีรบุรุษสงครามกองโจร และได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรกช่วงปี 2528 – 2533
แต่การกลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้งหลังชนะการเลือกตั้งในปี 2550 ออร์เตกาเริ่มกวาดล้างศัตรูหรือใครก็ตามที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม มีผู้ถูกจำคุกไปแล้วหลายร้อยคน นอกจากนั้น หลังการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่เมื่อปี 2561 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 300 ราย เขาได้สั่งยุบองค์กรภาคประชาสังคม (NGO) ไปกว่า 5,000 องค์กร
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Nicaragua withdraws from UN Human Rights Council ระบุว่า เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2568 มูริลโล ซึ่งดำรงตำแหน่งรอง ปธน.นิการากัว อยู่ด้วย เปิดเผยว่า นิการากัวจะถอนตัวจาก UNHRC หลังหน่วยงานของสหประชาชาติ ออกรายงานที่เรียกร้องให้ประชาคมโลกจัดการกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลนิการากัว ที่นำโดย ปธน.ออร์เตกา
ในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2568 หน่วยงานของสหประชาชาติ ระบุว่า 2 สามี-ภรรยา ปธน.แดเนียล ออร์เตกา และสตรีหมายเลข 1 โรซาริโอ มูริลโล ได้เปลี่ยนนิการากัวให้เป็นรัฐอำนาจนิยมที่ไม่มีองค์กรใดๆ ที่มีความเป็นอิสระหลงเหลืออยู่ และผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติ เรียกร้องให้ดำเนินคดีในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในลักษณะที่เข้าข่ายเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ในอดีต รัฐบาลของออร์เตกาเพิกเฉยต่อรายงานของสหประชาชาติและองค์การรัฐอเมริกัน ซึ่งระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของการณรงค์นานาชาติที่ต่อต้านรัฐบาล ขณะที่มูริลโลเรียกรายงานของสหประชาชาติว่าเป็นความเท็จและการใส่ร้าย ขณะที่ในวันที่ 28 ก.พ. 2568 หลายประเทศแสดงความเสียใจต่อการตัดสินใจของนิการากัวที่จะถอนตัว อาทิ สเปน ระบุว่า นิการากัวเป็นประเทศที่ 3 ที่ถอนตัวจากคณะมนตรีในช่วงเวลาไม่กี่วัน หลังจากอิสราเอลและสหรัฐอเมริกาประกาศว่าจะถอนตัว
มาร์เซโล วาสเกซ เบอร์มูเดซ (Marcelo Vazquez Bermudez) ผู้แทนถาวรของเอกวาดอร์ประจำสหประชาชาติ ในฐานะผู้แทนกลุ่มประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล แคนาดา ชิลี โคลอมเบีย คอสตาริกา เอกวาดอร์ ปารากวัย และเปรู กล่าวว่า การกระทำนี้ถือเป็นสัญญาณที่น่าตกใจของการโดดเดี่ยวและเป็นความพยายามของนิคารากัว ที่จะหลบเลี่ยงความรับผิดชอบเกี่ยวกับพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
แต่อีกด้านหนึ่ง ยาเนซ เดอเลิซ (Yánez Deleuze) ผู้แทนถาวรของเวเนซุเอลาประจำสหประชาชาติ ออกแถลงการณ์วิพากษ์วิจารณ์รายงานดังกล่าว และกล่าวหาว่าคณะมนตรีใช้มาตรการสองมาตรฐานและนำสิทธิมนุษยชนเข้ามาเล่นการเมือง โดยระบุว่า ตนแสดงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างลึกซึ้งต่อการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของกลไกและขั้นตอนการรายงานคู่ขนานซึ่งอ้างว่าดำเนินการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นกลาง รายงานเหล่านี้เป็นเพียงแผ่นพับโฆษณาชวนเชื่อ
นิการากัวประสบกับการประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ในปี 2561 เมื่อการปราบปรามผู้เห็นต่างของออร์เตกาส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 350 คน และจุดชนวนให้เกิดการประท้วงจากนานาชาติเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน อีกทั้งรายงานของสหประชาชาติยังพาดพิงกองทัพนิการากัวในการปราบปรามอย่างรุนแรง ซึ่งขัดแย้งกับการปฏิเสธก่อนหน้านี้
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.reuters.com/world/americas/nicaragua-withdraws-un-human-rights-council-2025-02-28/
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี