23 เม.ย. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Trump tariffs threaten to pile more pain on Thailand's rice sector ระบุว่า ชาวนาในประเทศไทยกำลังกังวลปัญหาถึง 2 เรื่อง ทั้งราคาส่งออกข้าวที่ลดลงเนื่องจากอินเดียกลับมาส่งออกข้าวสู่ตลาดโลกอีกครั้ง กับมาตรการกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประกาศใช้
Daeng Donsingha หญิงชราวัย 70 ปี หนึ่งในชาวนาของไทย ซึ่งนำผลผลิตข้าวไปขายให้โรงสีทางภาคกลางของประเทศ กล่าวว่า ปัญหาคือราคาข้าวตกต่ำมาก ขณะที่ต้นทุนอื่นๆ เช่น ปุ๋ยและค่าเช่าที่ดินสูงขึ้น นั่นหมายถึงตนกำลังขาดทุน ขณะที่ ชูเกียรติ โอภาสวงศ์ (Chookiat Ophaswongse) นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากสหรัฐฯ บังคับใช้มาตรการกำแพงภาษี ข้าวหอมมะลิของไทยจะมีราคาแพงเกินกว่าที่จะแข่งขันได้
ในปี 2567 ที่ผ่านมา ไทยส่งออกข้าวไปสหรัฐฯ 849,000 ตัน โดยส่วนใหญ่เป็นข้าวหอมมะลิที่มีราคาแพงที่สุด มูลค่า 28,030 ล้านบาท (735 ล้านเหรียญสหรัฐ) ขณะที่การส่งออกข้าวไปทั่วโลกในปีดังกล่าว ไทยมีปริมาณการส่งออกอยู่ที่ 9.94 ล้านตันในปี 2567 มูลค่า 225,650 ล้านบาท (6,820 ล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งแม้ตลาดสหรัฐฯ จะเป็นอันดับ 3 ในแง่ปริมาณ แต่ในแง่มูลค่าแล้วเป็นตลาดที่ทำกำไรได้สูงสุด ทั้งนี้ ในปี 2568 สมาคมฯ ตั้งเป้าส่งออกข้าวไทยไว้ที่ 7.5 ล้านตัน
“ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่อาจเกิดขึ้นจะทำให้การส่งออกหยุดชะงัก และส่งผลให้คู่แข่งในภูมิภาคหลักของไทย เช่น เวียดนาม ซึ่งมีราคาต่ำกว่าอย่างมากได้เปรียบ จาก 1,000 เหรียญสหรัฐ (ราว 34,000 บาท) ต่อตัน ราคาจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,400 - 1,500 เหรียญสหรัฐ (ราว 47,600 – 51,000 บาท) ผู้นำเข้าจะหันไปใช้ข้าวหอมมะลิเวียดนามซึ่งราคาเพียงตันละ 580 เหรียญสหรัฐ (ราว 17,000 บาท) เท่านั้น” ชูเกียรติ กล่าว
ไทยเป็นหนึ่งในประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากมาตรการที่ทรัมป์เสนอ โดยเผชิญกับภาษีนำเข้าสินค้าร้อยละ 36 เว้นแต่การเจรจาที่กำลังดำเนินการอยู่จะประสบความสำเร็จ ก่อนที่คำสั่งชะลอมาตรการกำแพงภาษีไว้ชั่วคราวของผู้นำสหรัฐฯ จะสิ้นสุดลงในเดือน ก.ค. 2568 ขณะที่ข้าวจากเวียดนามมีราคาถูกกว่าเนื่องจากต้นทุนการผลิตต่ำกว่า เกษตรกรปลูกพืชหลากหลายสายพันธุ์และสามารถเก็บเกี่ยวได้หลายครั้ง
เกษตรกรในไทย ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน เผชิญความวิตกกังวลเนื่องจากราคาข้าวในประเทศลดลงร้อยละ 30 หลังจากอินเดียกลับมาส่งออกอีกครั้งในเดือน ก.ย. 2567 โดยในปี 2565 อินเดียครองสัดส่วนร้อยละ 40 ของการส่งออกข้าวทั่วโลก ก่อนที่จะประกาศห้ามส่งออก ถึงกระนั้น รศ.ดร.สมพร อิศวิลานนท์ (Somporn Isvilanonda) นักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองของชาติ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเกษตร กล่าวว่า ประเทศไทยไม่มีช่องทางที่จะลดราคาเพื่อแข่งขัน
“ต้นทุนการผลิตของเราสูงในขณะที่ผลผลิตต่ำ หากลดราคาลงเกษตรกรก็ไม่รอด” อาจารย์สมพร กล่าว
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ในขณะที่ชาวนาและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวไทย ฝากความหวังไว้กับคณะผู้แทนทางการไทย ซึ่งนำโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิชัย ชุณหวชิร (Pichai Chunhavajira) ที่จะไปเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ แต่ข้อมูลของสมาคมผู้ส่งออกข้าวแห่งประเทศไทย พบว่า การส่งออกข้าวของไทยได้ลดลงแล้ว โดยการส่งออกโดยรวมลดลงร้อยละ 30 ในไตรมาสแรกของปี 2568 เนื่องจากประเทศต่างๆ ชะลอการตัดสินใจซื้อ บวกกับการกลับมาส่งออกข้าวมากขึ้นของอินเดีย และคาดการณ์ว่าการส่งออกข้าวของไทยจะยังคงลดลงในระดับเดียวกันในอีก 3 เดือนข้างหน้า
แต่อีกด้านหนึ่ง กลุ่มอุตสาหกรรมยังระบุด้วยว่า ข้อเสนอผ่อนปรนที่ไทยเสนอเพื่อตอบสนองทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการปรับลดภาษีนำเข้าข้าวโพดจากร้อยละ 73 เป็น 0% จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรไทยด้วย โดย บรรจง ตั้งจิตรวัฒนากุล (Banjong Tangchitwattanakul) นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า การที่ข้าวโพดนำเข้าราคาถูกจำนวนมากอาจทำให้ราคาข้าวหักและรำข้าว ซึ่งสกัดได้ระหว่างการสีข้าวและนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ตกต่ำลงอีก
รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า ในวันที่ 8 เม.ย. 2568 กลุ่มเกษตรกร 4 กลุ่ม รวมทั้งโรงสีข้าว เรียกร้องต่อรัฐบาลไทยขอให้ระงับการนำเข้าข้าวโพดและกากถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ โดยให้เหตุผลว่าจะทำให้ราคาพืชผลในประเทศสำหรับอาหารสัตว์ถูกลง ขณะที่รัฐบาลได้ให้คำมั่นว่าข้อเสนอผ่อนปรนใดๆ ที่รัฐบาลให้ในการเจรจากับสหรัฐฯ จะไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศ แต่สำหรับชาวนาอย่าง Daeng การตัดสินใจที่เกิดขึ้นอีกซีกโลกอาจส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพของเธอได้
“ลูกๆ ของฉันติดตามข่าวมาตลอด พวกเขาบอกฉันว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เราคงไม่รอดหรอกแม่’” ชาวนาและหญิงชราวัย 70 ปีผู้นี้ กล่าวทิ้งท้าย
ขอบคุณเรื่องจาก
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี