21 พฤษภาคม 2568 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า สหรัฐฯได้รับข่าวกรองใหม่ที่บ่งชี้ว่า อิสราเอลกำลังเตรียมการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน แม้รัฐบาลทรัมป์จะยังคงเดินหน้าเจรจาทางการทูตกับกรุงเตหะรานอยู่ก็ตาม โดยมีเจ้าหน้าที่หลายรายยืนยันกับ CNN ถึงความเคลื่อนไหวดังกล่าว
หากอิสราเอลดำเนินการจริง จะถือเป็นการฝ่าฝืนแนวทางของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างโจ่งแจ้ง และอาจลุกลามเป็นความขัดแย้งระดับภูมิภาคในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ พยายามหลีกเลี่ยงนับตั้งแต่สงครามในกาซาปะทุตั้งแต่ปี 2023
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่าอิสราเอลจะตัดสินใจโจมตีจริงหรือไม่ ขณะเดียวกันในรัฐบาลสหรัฐฯก็มีความเห็นแตกต่างกันว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวด้านข่าวกรองคนหนึ่งเผยว่า “โอกาสที่อิสราเอลจะโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา” เขายังระบุว่า “หากข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่านที่ทรัมป์เจรจาไม่สามารถทำให้อิหร่านถอนยูเรเนียมทั้งหมดได้ก็ยิ่งมีโอกาสที่อิสราเอลจะเลือกใช้กำลังมากขึ้น”
ซีเอ็นเอ็นยังระบุว่า สหรัฐฯมีความกังวลมากขึ้นจากทั้งคำแถลงของเจ้าหน้าที่อิสราเอล และจาก*การดักฟังการสื่อสารภายในของอิสราเอล*รวมถึงการเคลื่อนกำลังทหารบางส่วนที่บ่งชี้ถึงความพร้อมในระดับหนึ่ง ได้แก่ การเคลื่อนย้ายอาวุธทางอากาศและการฝึกซ้อมโจมตีทางอากาศที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป
แม้ว่าสัญญาณเหล่านี้อาจเป็นเพียงการกดดันอิหร่านให้ยอมถอยจากโครงการนิวเคลียร์ แต่ก็ทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนและกดดันรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น
แม้ในอดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะเคยขู่ใช้กำลังหากการเจรจาล้มเหลว แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงยืนยันแนวทางการทูตเป็นหลักโดยเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ส่งจดหมายถึง อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน พร้อมกำหนดเส้นตาย 60 วันให้การเจรจาประสบผลสำเร็จ ซึ่งปัจจุบันได้ล่วงเลยไปแล้ว
โจนาธาน พานิคอฟฟ์ อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ ระบุว่า อิสราเอลอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะต้องหลีกเลี่ยงดีลสหรัฐฯ–อิหร่านที่ไม่เป็นที่ยอมรับ ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการสร้างรอยร้าวกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญ เพราะสุดท้ายแล้ว การตัดสินใจของอิสราเอลจะผูกอยู่กับท่าทีและข้อตกลงของสหรัฐฯ โดยตรง
รายงานข่าวกรองสหรัฐฯ ชี้ว่า อิหร่านกำลังอยู่ในสภาพอ่อนแอทางทหารที่สุดในรอบหลายสิบปี หลังถูกอิสราเอลโจมตีคลังขีปนาวุธและระบบป้องกันทางอากาศในเดือนตุลาคมและยังเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างหนักจากมาตรการคว่ำบาตร
แหล่งข่าวในสหรัฐฯ เผยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเพิ่มการเก็บข้อมูลข่าวกรองเผื่อช่วยเหลือในกรณีที่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีจริง แต่ยังไม่มีสัญญาณว่าสหรัฐฯ จะร่วมมือทางทหารในทันที เว้นแต่จะเกิดการยั่วยุร้ายแรงจากอิหร่าน
แม้จะมีกำลังทหารแต่อิสราเอลไม่สามารถทำลายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ โดยลำพังโดยเฉพาะในส่วนที่อยู่ลึกใต้ดิน หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะด้านการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศและอาวุธเจาะเกราะขั้นสูง
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวอิสราเอลระบุว่า หากข้อตกลงที่สหรัฐฯกำลังเจรจาถูกมองว่า "ยอมรับไม่ได้" อิสราเอลก็พร้อมจะลงมือเพียงลำพัง
แม้สหรัฐฯ และอิหร่านยังเดินหน้าเจรจา โดยรอบถัดไปอาจมีขึ้นในยุโรปในสัปดาห์นี้ “แต่ยังไม่มีข้อเสนอใดได้รับการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากประธานาธิบดีทรัมป์”
ผู้นำอิหร่าน กล่าวเมื่อวันอังคารว่า เขาไม่คาดหวังว่าการเจรจากับสหรัฐฯจะสำเร็จและ เรียกข้อเรียกร้องของรัฐบาลสหรัฐฯที่ให้ยุติการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมว่าเป็น ”ความผิดพลาดครั้งใหญ่”
ทั้งนี้ อิหร่านยืนยันว่าการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมเป็น“สิทธิที่ชอบด้วยกฎหมาย” ภายใต้สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ขององค์การสหประชาชาติ (NPT)
พานิคอฟฟ์ทิ้งท้ายว่า “นี่เป็นโจทย์ใหญ่ของเนทันยาฮู” เพราะเขาต้องเลือกจะเสี่ยงทำลายพันธมิตรกับสหรัฐฯ หรือปล่อยให้อิหร่านเข้าใกล้อาวุธนิวเคลียร์เกินไป
สถานการณ์ในตะวันออกกลางจึงยังคงตึงเครียด ท่ามกลางคำถามว่า อิสราเอลจะเลือกโจมตีจริงหรือไม่ และหากเลือก จะเป็นด้วยความเห็นชอบของสหรัฐฯ หรือเป็นการตัดสินใจเพียงลำพังที่อาจเขย่าความมั่นคงของภูมิภาคครั้งใหญ่
ขอบคุณข้อมูลจาก : CNN
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี