วันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568
26 มิ.ย. 2568 เว็บไซต์นิตยสาร Tempo ของอินโดนีเซีย รายงานข่าว Amnesty Urges Indonesia to Press Cambodia on Online Scam Slavery Investigation ระบุว่า อุสมาน ฮามิด (Usman Hamid) ผู้อำนวยการบริหารขององค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) สาขาอินโดนีเซีย เรียกร้องให้รัฐบาลอินโดนีเซียกดดันกัมพูชา เพื่อแก้ปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานทาสที่เชื่อมโยงกับการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์
“แอมเนสตี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการกดดันทางการทูตต่อกัมพูชาและการเสริมสร้างบทบาทของสถานทูตอินโดนีเซียในกรุงพนมเปญเพื่อให้การคุ้มครองที่แท้จริงและทันท่วงทีแก่เหยื่อการค้ามนุษย์ชาวอินโดนีเซีย ซึ่งอินโดนีเซียมีตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำเป็นต้องมีความร่วมมือในภูมิภาคที่แข็งแกร่งเพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามพรมแดนที่เหยื่อผู้หางานหลายพันคนตกเป็นเหยื่อ” อุสมาน กล่าว
รายงานล่าสุดของแอมเนสตี้ฯ เปิดเผยถึงการปฏิบัติที่กล่าวหาว่ามีการใช้แรงงานทาส ค้ามนุษย์ และทรมานแรงงานข้ามชาติหลายพันคน ซึ่งรวมถึงชาวอินโดนีเซีย ในฐานปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลายสิบแห่งในกัมพูชา การศึกษาของแอมเนสตี้ฯ เป็นเวลา 18 เดือนแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการปกป้องเหยื่อเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องโดยตรงหรือปล่อยให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบเหล่านี้ขึ้น
รายงานความยาว 240 หน้าที่มีชื่อว่า “I was someone else’s property” กล่าวถึงกลุ่มมิจฉาชีพอย่างน้อย 53 กลุ่มที่กระจายอยู่ใน 16 เมืองของกัมพูชา ซึ่งผู้คนหลายพันคนจากประเทศต่างๆ รวมทั้งอินโดนีเซีย ถูกบังคับให้ทำงานภายใต้การคุกคามของความรุนแรง ดังตัวอย่างของ แดเนียล (Daniel) หนึ่งในชาวอินโดนีเซียที่ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์และการเป็นทาสที่นั่น เพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองถูกชักจูงให้ทำงานในอุตสาหกรรมฉ้อโกงออนไลน์ อย่างไรก็ตาม แดเนียลไม่คาดคิดว่าตนจะถูกขายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ถูกขัง ถูกบังคับให้ทำงาน และถูกทรมานและถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายในรูปแบบอื่น
ในรายงานที่แอมเนสตี้ฯ เพิ่งเผยแพร่ในวันที่ 26 มิ.ย. 2568 แดเนียลบรรยายสภาพของสถานที่ที่เรียกว่า “KK01” ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการมิจฉาชีพออนไลน์แห่งหนึ่งในจังหวัดเกาะกง ที่นั่นมี รปภ. ติดอาวุธเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และมีการทรมานคนงานที่ถือว่าไม่เชื่อฟัง แดเนียลได้รับการปล่อยตัวในปี 2566 แต่กลับมากัมพูชาเนื่องจากประสบปัญหาเศรษฐกิจในบ้านเกิด ในตอนแรก เขารู้สึกว่าเป็นอิสระในฐานแห่งใหม่ แต่ต่อมาถูกขายให้กับนายจ้างคนอื่น และถูกบังคับให้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไร้มนุษยธรรมอีกครั้ง
บรรดาผู้รอดชีวิตเล่าว่า อาคารที่ในอดีตเคยเป็นกาสิโนและโรงแรมถูกดัดแปลงเป็นฐานปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการล้อมรั้วลวดหนาม ติดตั้งกล้องวงจรปิด และมี รปภ. ติดอาวุธ การหลบหนีแทบจะเป็นไปไม่ได้ ผู้ที่พยายามหลบหนีต้องประสบกับการทรมานและถึงขั้นเสียชีวิต รายงานของแอมเนสตี้ฯ อ้างถึงเหยื่อที่ใช้ชื่อว่าลิซ่า (Lisa) หญิงชาวไทยที่ได้รับสัญญาว่าจะได้งานธุรการในโรงแรมหรู แต่กลับถูกลักลอบพาเข้ากัมพูชา ถูกทุบตี และถูกบังคับให้ทำงานนานถึง 11 เดือน ส่วนผู้รอดชีวิตอีกคนชื่อซิติ (Siti) อ้างว่าได้เห็นเหยื่อรายอื่นถูกทุบตีจนร่างกายเขียวช้ำ จากนั้นจึงขายให้กับฐานแห่งอื่นๆ
มอนต์เซ เฟอร์เรอร์ (Montse Ferrer) ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยประจำภูมิภาคของแอมเนสตี้ฯ กล่าวว่า ทางการกัมพูชาทราบถึงการมีอยู่ของฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ แต่ไม่ได้ดำเนินการ หรือแม้แต่แสดงรูปแบบการสมคบคิด หลังจากการเข้าตรวจค้น ฐานเหล่านี้ที่ระบุตัวตนได้กว่า 2 ใน 3 ามจากทั้งหมด 53 แห่งยังคงเปิดดำเนินการอยู่
“รัฐบาลกัมพูชาสามารถหยุดการละเมิดเหล่านี้ได้ แต่เลือกที่จะไม่ทำ การแทรกแซงของตำรวจเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น” เฟอร์เรอร์ กล่าว
รายงานข่าวทิ้งท้ายว่า หลังจากได้รับการช่วยเหลือแล้ว เหยื่อมักจะถูกกักขังอีกครั้งในศูนย์กักกันคนเข้าเมืองที่ไม่เพียงพอ โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือความช่วยเหลือทางกฎหมาย ตัวอย่างเช่น แดเนียลถูกกักขังนานเกือบสองเดือนหลังจากได้รับการปล่อยตัวฐานของมิจฉาชีพ
ขอบคุณเรื่องจาก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/inter/894584 ‘แอมเนสตี้’เปิดรายงาน‘กัมพูชา’ล้มเหลวแก้ปัญหา‘ค้ามนุษย์แก๊งคอลฯ’
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี