31 ก.ค. 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Myanmar forms interim government before election but top general still in charge ระบุว่า กองทัพเมียนมาได้โอนอำนาจให้แก่รัฐบาลรักษาการที่นำโดยพลเรือนในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ก่อนการเลือกตั้งที่วางแผนไว้ โดยผู้นำคณะรัฐประหารยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการ โดยสื่อของรัฐรายงานว่าพระราชกฤษฎีกาที่ให้อำนาจแก่กองทัพหลังการรัฐประหารในปี 2564 ถูกยกเลิก และได้มีการจัดตั้งรัฐบาลรักษาการขึ้น พร้อมกับคณะกรรมการพิเศษเพื่อกำกับดูแลการเลือกตั้ง
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ได้ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อสถานะเดิมในเมียนมา โดยหัวหน้าคณะรัฐประหาร มิน อ่อง หล่าย (Min Aung Hlaing) ยังคงรักษาอำนาจสำคัญๆ ไว้ได้ในฐานะประธานาธิบดีรักษาการ ขณะที่ยังคงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ซอ มิน ตุน (Zaw Min Tun) โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศที่บังคับใช้มาตั้งแต่การรัฐประหาร ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ต่ออายุการประกาศดังกล่าวมา 7 ครั้ง และครั้งล่าสุดมีกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ขณะนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งประธานาธิบดีรักษาการและผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้กล่าวว่า ในห้วงเวลา 6 เดือนข้างหน้านี้จะเป็นช่วงที่เหมาะสมในการเตรียมความพร้อมสู่การจัดการเลือกตั้ง
เมียนมาตกอยู่ในความโกลาหลนับตั้งแต่การรัฐประหารต่อต้านรัฐบาลพลเรือนที่ได้รับการเลือกตั้งของ อองซานซูจี (Aung San Suu Kyi) ซึ่งทำให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) แห่งนี้เข้าสู่สงครามกลางเมือง โดยกองทัพรัฐบาลทหารต่อสู้เพื่อปราบปรามกองกำลังฝ่ายต่อต้าน และถูกกล่าวหาว่ากระทำความโหดร้ายทารุณอย่างกว้างขวาง ซึ่งกองทัพรัฐบาลทหารปฏิเสธ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชาติตะวันตกมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเพียงการหลอกลวงเพื่อยึดอำนาจของนายพล และคาดว่าจะถูกครอบงำโดยตัวแทนของกองทัพ โดยกลุ่มฝ่ายค้านจะถูกห้ามลงสมัครหรือปฏิเสธที่จะเข้าร่วม ซึ่ง เดวิด มาธีสัน (David Mathieson) นักวิเคราะห์อิสระที่มุ่งเน้นเมียนมา กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงอำนาจเป็นเพียงการเสริมแต่ง และผู้ที่มีอำนาจจะยังคงใช้อำนาจในทางมิชอบและกดขี่ต่อไป พวกเขากำลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างเดิมและเรียกชื่อรัฐบาลใหม่ นี่เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการเลือกตั้งซึ่งเราไม่ทราบมากนัก
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ผลกระทบของสงครามกลางเมืองต่อการเลือกตั้งที่วางแผนไว้ยังคงไม่ชัดเจน ในปี 2567 รัฐบาลทหารได้จัดทำสำมะโนประชากรทั่วประเทศเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่กลับสามารถดำเนินการได้เพียง 145 เมือง จากทั้งหมด 330 เมืองในเมียนมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการขาดการควบคุมพื้นที่บางส่วนของประเทศ
ในการประชุมเจ้าหน้าที่กลาโหมเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2568 มินอ่องหล่าย กล่าวว่า การเลือกตั้งจะจัดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ในเดือน ธ.ค. 2568 – ม.ค. 2569 เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคง ทั้งนี้ มีรายงานว่า จะมีการประกาศกฎอัยการศึกและประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกว่า 60 เมือง ครอบคลุม 9 ภูมิภาคและรัฐ เนื่องจากภัยคุกคามจากความรุนแรงและการก่อความไม่สงบ โดยหลายแห่งอยู่ในพื้นที่ชายแดนที่กองทัพกำลังเผชิญกับการต่อต้านอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนจากกองกำลังฝ่ายต่อต้าน
กองทัพได้ให้เหตุผลว่าการรัฐประหารในปี 2564 เป็นสิ่งจำเป็นในการแทรกแซง หลังจากที่กองทัพระบุว่ามีการทุจริตอย่างกว้างขวางในการเลือกตั้งเมื่อ 3 เดือนก่อนหน้านั้น ซึ่งพรรครัฐบาลของซูจีซึ่งปัจจุบันได้ยุบพรรคไปแล้วชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด แต่ผู้ตรวจสอบการเลือกตั้งไม่พบหลักฐานการทุจริตที่จะเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งได้
รายงานโดยองค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) ที่เผยแพร่เมื่อเดือน ม.ค. 2568 ระบุว่า กองทัพรัฐบาลทหารเมียนมาได้สังหารประชาชนไปแล้วกว่า 6,000 ราย และควบคุมตัวโดยพลการกว่า 20,000 คนนับตั้งแต่การรัฐประหาร อีกทั้งประชาชนมากกว่า 3.5 ล้านคนต้องพลัดถิ่นภายในประเทศ ซึ่งกองทัพรัฐบาลทหารได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยอ้างว่าเป็นข้อมูลบิดเบือนจากชาติตะวันตก
อีกด้านหนึ่ง ในวันที่ 31 ก.ค. 2568 กระทรวงการต่างประเทศของจีน ออกแถลงการณ์ระบุว่า จีนสนับสนุนเส้นทางการพัฒนาของเมียนมาสอดคล้องกับสภาพการณ์ของประเทศและความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของเมียนมาในวาระทางการเมืองภายในประเทศ
ขอบคุณเรื่องจาก
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี