1 ตุลาคม 2568 สำนักข่าวนิวยอร์กไทม์ส ได้ออกมารายงานข่าวว่า จีนได้ส่งจรวดและกระสุนปืนใหญ่มายังกัมพูชา ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่จะเรียกร้องให้กัมพูชาและไทย หยุดยิงในเดือนกรกฎาคม เครื่องบินทหารจีน ได้ลงจอดที่กัมพูชาในเดือนมิถุนายน ไม่กี่สัปดาห์ก่อนข้อพิพาทชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทยจะปะทุเป็นสงครามขึ้น เครื่องบินดังกล่าวคือ เครื่องบิน Y-20 ซึ่งถูกเรียกว่า Chubby Girls เนื่องจากลำตัวเครื่องบินกว้าง และ สามารถบรรทุกสัมภาระหนักได้ เครื่องบินเหล่านี้ ได้บินมายังสีหนุวิลล์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ 6 เที่ยวบิน โดย นำจรวด กระสุนปืนใหญ่ และ ปืนครกมาด้วย ตามเอกสารข่าวกรองของไทยที่นิวยอร์กไทม์สได้ตรวจสอบ ซึ่งเป็นการขนส่งที่ไม่เคยมีรายงานมาก่อน
เอกสารระบุว่า อาวุธจีนถูกบรรจุลงในตู้คอนเทนเนอร์ 4 ตู้ และ เก็บไว้ที่ฐานทัพเรือเรียมที่อยู่ใกล้เคียง ไม่กี่วันต่อมา กระสุนที่ผลิตในจีน ถูกเคลื่อนย้ายจากฐานทัพไปทางเหนือหลายร้อยไมล์ ไปยังชายแดนกัมพูชาที่ติดกับไทย ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทตามเอกสาร เมื่อถูกถามถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายงานข่าวกรองของไทย เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชา ไม่ได้ปฏิเสธรายละเอียดพื้นฐานเกี่ยวกับการขนส่งดังกล่าว
กัมพูชากับไทย ต่างโทษกันว่าอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุของสงคราม ซึ่งกินระยะเวลานานถึง 5 วัน ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ก่อนที่ความขัดแย้งจะเริ่มต้นขึ้น การเคลื่อนย้ายอาวุธไปยังชายแดน ถึงเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการเสริมกำลังของกัมพูชา เป็นเวลาหลายเดือนที่กัมพูชาได้วางกำลังทหารตามแนวชายแดนใกล้กับปราสาทโบราณ ที่ทั้งไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ กัมพูชาได้สร้างถนนสายใหม่และสร้างฐานทัพ ซึ่งสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดนี้ ปรากฏให้เห็นในภาพถ่ายดาวเทียม
นักวิเคราะห์ กล่าวว่า การเตรียมการนี้ กัมพูชาเข้าสู่การเผชิญหน้าด้วยท่าทียั่วยุต่อไทย มากกว่าที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ แต่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างพึ่งพาอาวุธจากแห่งเดียวกัน นั่นคือ จีน ซึ่งได้สร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ ที่ใกล้ชิดกับ 2 ชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รายงานของผู้ตรวจสอบอิสระส่วนใหญ่ สนับสนุนข้อสรุปการประเมินข่าวกรองของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับแหล่งที่มาของอาวุธบางชนิดที่กัมพูชาใช้
ตามการเปิดเผยของ Fortify Rights ซึ่งเป็นกลุ่มสิทธิมนุษยชน ระบุว่า จรวดที่กัมพูชาใช้โจมตี 4 จังหวัดของไทย ส่วนใหญ่มาจากจีน เจ้าหน้าที่ไทยกล่าวว่า ในวันแรก กัมพูชาโจมตีปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล และ บ้านเรือนของพลเรือน ส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 13 ราย
นาธาน รูเซอร์ นักวิเคราะห์จากสถาบันนโยบายเชิงกลยุทธ์ออสเตรเลีย กล่าวว่า หลักฐานทั้งหมดชี้ให้เห็นว่า ผู้นำกัมพูชาได้ตัดสินใจร่วมกันในช่วงหลายเดือน และหลายปี ก่อนเกิดการปะทะที่ชายแดน เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมตามแนวชายแดน
เจ้าหน้าที่อาวุโสจากกองทัพไทย ยืนยันความถูกต้องของเอกสาร ระบุว่า ข้อมูลดังกล่าวรวบรวมโดยเครือข่ายข่าวกรองข้ามเหล่าทัพ เจ้าหน้าที่อีก 2 นาย ยืนยันว่า เอกสารดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ภายในกองทัพ ทั้ง 3 รายขอไม่เปิดเผยชื่อเพื่อหารือเกี่ยวกับเอกสารที่อ้างว่าเป็นความลับ
ในแถลงการณ์ พล.ท.รัธ ดาราโรธ รัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา ไม่ได้โต้แย้งรายละเอียดการขนส่งอาวุธจากจีนมากัมพูชา แต่ระบุว่า รายงานข่าวกรองของไทย ทำให้เข้าใจผิด เขากล่าวว่า การเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ที่อ้างถึงในเอกสาร สอดคล้องโดยตรง กับการซ้อมรบร่วมประจำปีของกัมพูชา กับกองทัพจีน แต่การฝึกซ้อมดังกล่าว ได้สิ้นสุดลงก่อนหน้านั้นหลายสัปดาห์ คือ ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมขณะที่กระทรวงกลาโหมจีนไม่แสดงความเห็นใดๆ
การเตรียมการและการส่งกำลังบำรุงของกัมพูชา อาจทำให้กัมพูชา สามารถยืดเวลาการสู้รบออกไปได้ แต่ไทยสามารถยืนยันความได้เปรียบของตนได้อย่างรวดเร็ซ ด้วยคลังอาวุธที่ทันสมัยกว่ามาก กองกำลังไทยตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศโดยเครื่องบินขับไล่ F-16 ที่ทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายในกัมพูชา หลังข้อตกลงหยุดยิงในอีกห้าวันต่อมา มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 40 คน รวมถึงพลเรือนทั้งสองฝ่าย และมีผู้พลัดถิ่นอีกหลายแสนคน
จีน มีบทบาทสำคัญในการพยายามยุติการหยุดยิง แต่รายงานการจัดส่งอาวุธกลับทำให้ความพยายามของปักกิ่งในการแสดงตนเป็นผู้เจรจาสันติภาพที่เป็นกลางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความซับซ้อนขึ้นแม้ว่างบประมาณทางการทหารของกัมพูชาจะน้อยกว่าไทยเล็กน้อย แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ละประเทศได้เพิ่มงบประมาณอย่างมาก และหันไปพึ่งการจัดหาอาวุธจากจีน ปัจจุบัน ปักกิ่งนำสหรัฐในฐานะแหล่งผลิตอาวุธใหญ่ที่สุดของไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญากับสหรัฐมายาวนาน
เจ้าหน้าที่จีนได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาในสื่อไทย เกี่ยวกับการขนส่งอาวุธให้กัมพูชาเพื่อต่อต้านไทย ปลายเดือนกัมพูชา 1 วันหลังสู้รบเริ่มขึ้น เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของจีน ได้เข้าพบกับรักษาการผู้ช่วยทูตฝ่ายกลาโหมของไทยในปักกิ่ง เจ้าหน้าที่จีน ระบุว่า จีนไม่ได้จัดหายุทโธปกรณ์ใดๆ ให้แก่กัมพูชา นับแต่ความตึงเครียดระหว่างกัมพูชาและไทยเริ่มขึ้น
รายงานข่าวกรองทางทหารของไทย พบว่า ระหว่างวันที่ 21-23 มิถุนายน จีนได้ส่งกระสุด 700 นัด สำหรับ เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ของสหภาพโซเวียต รวมถึงระบบยิงจรวดหลายลำกล้องที่ผลิตในจีน ได้แก่ Type 90B และ PHL-03 นอกจากนี้ จีนยังส่งกระสุนปืนใหญ่สำหรับปืนใหญ่อัตตาจร SH-1 ของจีน และปืนใหญ่สำหรับปืนกลต่อสู้อากาศยานของสหภาพโซเวียตอีกด้วย เอกสารระบุว่า ในอีก 2 วันต่อมา กัมพูชาได้เคลื่อนย้ายกระสุนไปยัง 2 จังหวัดชายแดน คือ อุดรมีชัย และ พระวิหาร
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การส่งมอบชุดใหญ่เช่นนี้ จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้นำระดับสูงของจีนเสียก่อน โดยแอนโทนี เดวิส นักวิเคราะห์ของ Janes สิ่งพิมพ์ด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคง ซึ่งประจำอยู่ในกรุงเทพฯ กล่าวว่า การส่งกำลังบำรุงอย่างรวดเร็วในระดับนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องปกติ
ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ดูเหมือนกับว่า กัมพูชาจะพยายามเสริมกำลัง นายรูเซอร์ นักวิเคราะห์ออสเตรเลีย กล่าวว่า กัมพูชาได้สร้างฐานทัพทางตะวันออกของปราสาทพระวิหาร ทำให้มีมุมมองที่ดีกว่าในการรบข้ามแดน โครงสร้างใหม่นี้ อาจใช้เป็นฐานปืนใหญ่ได้ นับตั้งแต่ปลายปี 2565 กัมพูชายังได้สร้างถนน และ โครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ซึ่ง เป็นความพยายามร่วมกันในการสร้างกำลังทหารในพื้นที่ชายแดนบางส่วนเขาเผยว่า การสร้างป้อมปราการนี้ เกิดขึ้นในหลายภาคส่วนตามแนวชายแดน ซึ่งตัดความเป็นไปได้ที่ผู้บัญชาการคนเดียวอาจต้องการปรับยุทธวิธี นี่แสดงให้เห็นว่า กองทัพกัมพูชามีคำสั่งขยายกำลังพลออกไปอย่างกว้างขวาง
ด้านฮังยู ลี นักวิจัยจาก Armed Conflict Location & Event Data ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ติดตามความขัดแย้งระดับโลก กล่าวว่า เป็นที่แน่ชัดว่า การเสริมกำลังทางทหารของกัมพูชา มีความกระตือรือร้นมากกว่าไทยอย่างมาก หากเทียบกับกัมพูชา ส่วนใหญ่ไทยจะเป็นฝ่ายรับและตอบโต้ กองทัพบกไทยได้เสริมกำลังฐานทัพที่มีอยู่เดิม สร้างเส้นทางส่งกำลังบำรุง ติดตั้งปืนใหญ่ และยานเกราะ และเพิ่มการเฝ้าระวังเพื่อให้ทันต่อกิจกรรมของกัมพูชา
นักวิเคราะห์บางคน เสนอว่า หลังจากได้รับการสนับสนุนจากจีนมาหลายปี ฮุนเซน มั่นใจว่า กัมพูชาจะมีสถานะที่แข็งแกร่งกว่าในการปะทะในอดีต
ราห์มาน ยาคอบ นักวิจัยด้านนโยบายกลาโหม เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แห่ง มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย เผยว่า ระหว่างการปะทะครั้งใหญ่ครั้งล่าสุดกับไทยเมื่อปี 2554 กัมพูชา ขาดแคลนอาวุธอย่างรวดเร็ว ผลักให้พนมเปญกระชับความสัมพันธ์ทางทหารกับจีนให้แน่นแฟ้นขึ้น นับแต่นั้นมา จีนกลายเป็นผู้สนับสนุนทางทหารหลักของกัมพูชา ทั้ง 2 ชาติ จัดซ้อมรบประจำปีร่วมกันอย่างสม่ำเสมอตลอด 9 ปี ยกเว้นช่วงโควิด ปี 2561 ที่ผ่านมา จีนให้ความช่วยเหลือกัมพูชามากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นักวิเคราะห์ระบุว่าปัจจุบันอาวุธของจีนเป็นส่วนใหญ่ของคลังอาวุธของกัมพูชา
พวกเขารู้สึกว่ามีอุปกรณ์ที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับปี 2554 นั่นคือเหตุผลที่ความขัดแย้งนี้ค่อนข้างรุนแรง เพราะมีการใช้อาวุธหนัแทนการใช้ปืนไรเฟิลและปืนเล็กภาพถ่ายสนามรบที่โพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย แสดงให้เห็นทหารกัมพูชา กำลังใช้จรวดปืนใหญ่ HE-40 ขนาด 122 มิลลิเมตรที่ผลิตในจีน ซึ่งใช้กับระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง
ปีเตอร์ บูคคาร์ต ผู้เชี่ยวชาญด้านความขัดแย้งจาก Fortify Rights กล่าวว่า ทุกอย่างที่เห็นในเครื่องยิงจรวดล้วนเป็นจรวดจีน จีนควรพิจารณาสิ่งที่กองทัพกัมพูชาทำในช่วงความขัดแย้งนี้ และแสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้อาวุธอย่างไม่เลือกหน้าจีนไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ดีขึ้นเลย เมื่อจัดหาอาวุธที่ใช้สังหารพลเรือนในประเทศอื่นๆ ในเอเชีย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี