11 ตุลาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า 'นายดารา อิน' (Dara In) เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา ได้กล่าวปราศรัยในการอภิปรายทั่วไประหว่างการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติ (ExCom) เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา
'นายดารา อิน' กล่าวว่า กัมพูชาเคยประสบกับการพลัดถิ่น เผชิญกับความขัดแย้ง และต่อมาได้ฟื้นฟูประเทศขึ้นใหม่ผ่านกฎหมายด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความร่วมมือ ประเทศได้ร่วมมือกับสหประชาชาติและสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เพื่อปกป้องผู้ด้อยโอกาส ให้ที่พักพิงแก่ผู้ที่แสวงหาที่ลี้ภัย และมีส่วนร่วมในการรักษาสันติภาพ การกำจัดทุ่นระเบิด และการดำเนินงานด้านมนุษยธรรม
แต่ถึงกระนั้นถึงแม้เราจะพบกันที่นี่ หลักการที่ค้ำจุนสถาบันนี้ก็ยังคงถูกทดสอบตามแนวชายแดนของเรา การบุกรุกด้วยอาวุธจากประเทศไทยได้ทำให้พลเรือนต้องพลัดถิ่น ทำลายบ้านเรือน วัดและเจดีย์ และปิดปากชุมชนที่เคยสงบสุข ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ ภัยคุกคามจากการขับไล่ครอบครัวชาวกัมพูชาจำนวนมากที่อาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของเรามาหลายชั่วอายุคน ซึ่งเป็นการรณรงค์ภายใต้ข้ออ้างภายในประเทศที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและเพิกเฉยต่อข้อตกลงทวิภาคีระหว่างสองประเทศ
'นายดารา อิน' ได้ย้ำเตือนผู้แทนที่เข้าร่วมว่าการกระทำดังกล่าวว่า ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ชายแดน แต่เป็นการละเมิดระเบียบกฎหมาย กฎบัตรสหประชาชาติ และอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่สี่ ซึ่งห้ามการบังคับโยกย้ายพลเรือน การทำลายหรือยึดทรัพย์สิน หรือการลงโทษหมู่ ไทยได้ทำมันมาตลอด
ความสูญเสียของมนุษย์นั้นร้ายแรงมาก ครอบครัวกัมพูชาต่างพากันหลบหนีด้วยความหวาดกลัว วิถีชีวิตสูญสิ้นไปในชั่วข้ามคืน พระภิกษุ ครู และเด็ก ต่างละทิ้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยอุทิศให้กับความศรัทธาและการเรียนรู้ หมู่บ้านเขมรที่เคยเจริญรุ่งเรืองมานานหลายทศวรรษภายใต้การดูแลของกัมพูชา กลับกลายเป็นเพียงรอยแผลเป็น และถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจที่ชัดเจนว่าเมื่อกฎหมายล้มเหลว ความทุกข์ยากก็จะทวีคูณ
'นายดารา อิน' ย้ำว่ากัมพูชาได้ใช้ความยับยั้งชั่งใจ เคารพกฎหมาย และยึดมั่นในหลักความยุติธรรมและมนุษยธรรมว่าความยุติธรรม และมนุษยธรรมต้องไม่ยอมแพ้ต่อการรุกราน (โดยไทย) กัมพูชาขอเรียกร้องให้มีการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน และรื้อถอนสิ่งกีดขวางที่ผิดกฎหมายรอบๆ ที่อยู่อาศัยของพลเรือน รั้วและบังเกอร์ที่สร้างโดยไทย เราไม่ได้กระทำการด้วยความอ่อนแอ แต่กระทำการด้วยความเชื่อมั่นว่าการยับยั้งชั่งใจคือความเข้มแข็ง และกฎหมาย ไม่ใช่อำนาจ จะต้องยังคงเป็นมาตรวัดความชอบธรรม กระนั้น การยับยั้งชั่งใจต้องไม่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการยอมรับ การเล็งเป้าไปที่พลเรือน การกักขังทหาร และการคุกคามที่จะขับไล่ชุมชนทั้งหมดออกไป ล้วนส่งผลกระทบต่อหัวใจสำคัญของระเบียบกฎหมายระหว่างประเทศ
อีกทั้ง'นายดารา อิน' ยังพูดถึงทหารกัมพูชา 18 นายที่ทางไทยยังควบคุมไว้เป็นตัวประกันว่า กัมพูชาเรียกร้องให้ประเทศสมาชิก นำทฤษฎีของตนไปปฏิบัติจริง เพื่อรักษาเงินทุนด้านมนุษยธรรม เสริมสร้างการคุ้มครองภาคสนาม และปกป้องความเป็นสากลของกฎหมายระหว่างประเทศไม่ให้ถูกกัดกร่อนโดยความสะดวก พวกเรามีแรงจูงใจที่ชัดเจน นั่นคือการฟื้นฟูศรัทธาในลัทธิพหุภาคีในฐานะภาชนะแห่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อย่าปล่อยให้บุคคลใดถูกปล่อยปละละเลย อย่าปล่อยให้พรมแดนกลายเป็นเวทีแห่งความหวาดกลัว และอย่าให้พันธะทางกฎหมายใดถูกแลกเปลี่ยนกับการเมืองแห่งความสะดวกสบาย
พร้อมกันนี้ 'เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ' ยังได้เปิดเผยกับสื่อกัมพูชาว่า ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง แทบจะล้นหลาม ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวปราศรัยต่อคณะกรรมการบริหาร (ExCom) ซึ่งทุกถ้อยคำล้วนถ่ายทอดความโศกเศร้าและความเข้มแข็งของชาวกัมพูชาตลอดแนวชายแดน ข้าพเจ้าประทับใจ และข้าพเจ้าได้บรรยายถึงความทุกข์ทรมานของพวกเขา (ชาวเขมร) ว่าเป็นมากกว่าเรื่องเล่าที่ห่างไกล แต่มันคือจังหวะการเต้นของหัวใจของชนชาติข้าพเจ้าที่บาดเจ็บ เจ็บปวด แต่ยังคงเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญท่ามกลางความเจ็บปวด
ในฐานะเอกอัครราชทูตกัมพูชา ข้าพเจ้ามีพันธะผูกพันไม่เพียงแต่ด้วยตำแหน่งหน้าที่ แต่ด้วยมโนธรรม จริยธรรม ที่จะปกป้องศักดิ์ศรีของประชาชนของเราชาวกัมพูชา เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำตาของพวกเขา จะไม่ถูกลืมเลือน และไม่ให้เสียงของพวกเขาถูกกลบด้วยเสียงแห่งความขัดแย้ง เพราะเมื่อกฎหมายถูกเหยียบย่ำและถูกปฏิเสธความเป็นมนุษย์ ความเงียบก็ไม่ใช่คุณธรรม แต่มันคือการยอมจำนน และการยอมจำนนนั้นไม่เคยเป็น และจะไม่มีวันเป็นเส้นทางของเรา
ด้านนายโวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการให้แน่ใจว่าทหารกัมพูชาทุกคนที่ถูกควบคุมตัวหลังการปะทะด้วยอาวุธเมื่อเร็วๆ นี้ที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย ได้รับการปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเต็มที่
ในจดหมายทางการที่ส่งถึง นายแก้ว เรมี ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา (CHRC) นายโวลเกอร์ เติร์ก แสดงความเสียใจต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งบริเวณชายแดน และยืนยันถึงความมุ่งมั่นของสหประชาชาติในการปกป้องสิทธิของผู้ถูกคุมขังและพลเรือนที่ติดอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง สิ่งสำคัญคือบุคลากรทางทหารทั้งหมดที่ถูกควบคุมตัวในระหว่างความขัดแย้งทางอาวุธจะต้องได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่บังคับใช้และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงได้เรียกร้องรัฐบาลไทยเกี่ยวกับบุคลากรชาวกัมพูชาที่ถูกกองกำลังควบคุมตัวอยู่ในขณะนี้ สำนักงานของเขาได้แจ้งปัญหากับรัฐบาลไทยเกี่ยวกับทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในขณะนี้แล้ว
จดหมายแถลงการณ์ของข้าหลวงใหญ่ฯ ดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามอย่างต่อเนื่องในการรักษาสันติภาพภายหลังข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและไทยเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม และข้อตกลงปฏิบัติ 13 ประการที่ตามมาซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม เขากล่าวว่าข้อตกลงเหล่านี้จัดให้มี "กรอบการทำงานที่สำคัญสำหรับการลดความตึงเครียดอย่างถาวรและป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายเพิ่มเติมต่อพลเรือน"
นายโวลเกอร์ เติร์ก ยังเรียกร้องให้ทั้งสองรัฐบาลเคารพการหยุดยิง ด้วยความจริงใจและเต็มที่และใช้มาตรการที่แข็งขันเพื่อปกป้องพลเรือนเขายังสนับสนุนขั้นตอนการสร้างความเชื่อมั่นผ่านกลไกทวิภาคีและระดับภูมิภาคเพื่อให้แน่ใจว่าข้อขัดแย้งจะได้รับการแก้ไขอย่างสันติ ในฐานะส่วนหนึ่งของการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องกับทั้งสองประเทศ สำนักงานของฉันยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนรัฐบาลกัมพูชาและไทยในการรักษาพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน จดหมายฉบับนี้สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมทางการทูตอย่างต่อเนื่องของสหประชาชาติในการป้องกันไม่ให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น และเพื่อให้แน่ใจว่าหลักการด้านมนุษยธรรมได้รับการปฏิบัติทั้งสองฝั่งของชายแดน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี