ปักกิ่ง, 13 ต.ค. (ซินหัว) – เหล่าสุภาพสตรีจากต่างมุมโลกกำลังกำหนดนิยามใหม่ของความเข้มแข็งด้วยเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจข้ามทวีปและวัฒนธรรม และความกล้าหาญเดียวกันที่จะมุมานะฟันฝ่าอุปสรรคความยากลำบากเพื่อเปล่งประกายแสงอันงดงาม
เส้นพรมแดนและกำแพงภาษามิอาจจำกัดเรื่องราวของพวกเธอเหล่านี้ที่บอกเล่าความแข็งแกร่ง ความคิดสร้างสรรค์ และความหวัง ซึ่งดังก้องด้วยจิตวิญญาณแห่งการประชุมผู้นำโลกว่าด้วยสตรี (Global Leaders' Meeting on Women) ในกรุงปักกิ่ง
ทำสิ่งเล็กสิ่งน้อยด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่
ด้านหน้าร้านขายงานฝีมือขนาดเล็ก “บูล ชีป” ในเมืองเฉิงตู มณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน มีงานเลี้ยงอำลาแสนพิเศษ ที่ซึ่งแขกคนสำคัญคือหญิงชราชาวสหราชอาณาจักร “เรเชล เกรซ พินไนเจอร์” ผู้ใช้เวลาชีวิตกว่าห้าทศวรรษกับงานบริการในต่างประเทศ
(แฟ้มภาพซินหัว : เรเชล เกรซ พินไนเจอร์ (กลางขวา ด้านหลัง) เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองในเมืองเฉิงตู มณฑลซื่อชวนทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน วันที่ 19 เม.ย. 2025)
พินไนเจอร์เกิดปี 1945 ที่เมืองชาฟต์สบรีบนเกาะอังกฤษ เป็นลูกสาวคนเล็กสุดในครอบครัวแพทย์ เรียนจบจากมหาวิทยาลัยบริสตอลในปี 1968 โดยเธอไม่ได้สนใจอาชีพมั่นคงเงินดี แต่เลือกเดินทางไปทั่วพื้นที่ขัดแย้งและภัยพิบัติในเอเชียและแอฟริกา ทำงานเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการศึกษาในประเทศกำลังพัฒนา 15 แห่ง
ปี 2008 พินไนเจอร์เดินทางมามณฑลซื่อชวนเพื่อช่วยเหลืองานบรรเทาทุกข์จากแผ่นดินไหวเวิ่นชวนและโครงการอบรมผู้รอดชีวิตที่พิการในช่วงหลังภัยพิบัติ โดยพินไนเจอร์ค้นพบแรงบันดาลใจในงานฝีมืออันประณีตบรรจงที่มีอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ และตั้งใจสร้างช่องทางจำหน่ายที่ยั่งยืนให้งานฝีมือเหล่านี้
ปี 2013 พินไนเจอร์ก่อตั้งบลู ชีป ร้านค้าธรรมดาๆ ในเมืองเฉิงตูที่จำหน่ายงานฝีมือจากผู้พิการหรือครอบครัวยากจน ตอนแรกที่เธอเผยความคิดเปิดร้านนี้ หลายคนไม่ได้ให้กำลังใจเธอเท่าไรนัก แต่เธอไม่ท้อถอย คิดเพียงว่าต่อให้ร้านเจ๊งหลังจากเปิดได้ 1-2 ปี ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร
ช่วงเวลามากกว่าทศวรรษถัดมา ร้านค้าของพินไนเจอร์ไม่เพียงอยู่รอดแต่กลับเติบโต ที่นี่นำเสนองานฝีมือราว 20,000 ชิ้นจาก 13 กลุ่มชาติพันธุ์ โดยช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ร้านค้าแห่งนี้ได้สนับสนุนผู้ด้อยโอกาสในมณฑลซื่อชวนมากกว่า 1,000 คน
(แฟ้มภาพซินหัว : เรเชล เกรซ พินไนเจอร์ (คนที่ 2 จากขวา) ฟังเรื่องราวชีวิตของช่างฝีมือผู้พิการในเมืองเฉิงตู มณฑลซื่อชวนทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน วันที่ 19 เม.ย. 2025)
พินไนเจอร์กล่าวว่าผู้คนคิดว่าการกุศลหมายถึงให้ของฟรีๆ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ คือศักดิ์ศรีความภูมิใจ การถูกมองเห็นว่ามีความสามารถ ไม่ใช่ความสงสาร ซึ่งการได้เห็นคนมีคุณค่าในตัวเองผ่านการยอมรับและเบ่งบานเมื่อผู้คนเห็นค่าในสิ่งที่พวกเขาเป็นคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแท้จริง
จดหมายอำลาของพินไนเจอร์ เธออ้างอิงคำกล่าวของแม่ชีเทเรซาที่ว่า “เราไม่สามารถทำสิ่งใหญ่โตได้ทั้งหมด แต่เราสามารถทำสิ่งเล็กสิ่งน้อยด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ได้”
เพิ่มพูนพลังด้วยการเป็นสตรี
ข้างในโรงงานแปรรูปกาแฟที่นครกินชาซา เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) “ทิสยา มูคูนา” วัย 33 ปี เดินผ่านเครื่องคั่วกาแฟอย่างสง่างาม ชุดเดรสสีสันสดใสของเธอตัดกับบรรยากาศโรงงานอย่างชัดเจน โดยมูคูนาได้รับการขนานนามจากคนท้องถิ่นอย่างรักใคร่ให้เป็น “ราชินีกาแฟ” ของประเทศ
มูคูนา ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งลา คินอยส์ (La Kinoise) หรือ “สตรีแห่งกินชาซา” นั้นเรียนจบปริญญาสาขาการตลาดในฝรั่งเศสและปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจในเซี่ยงไฮ้ พ่อแม่ของเธอเคยจินตนาการว่าลูกสาวจะทำงานอยู่บริษัทข้ามชาติในนิวยอร์ก แต่ความจริงเธอเลือกกลับบ้านและตั้งใจเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง
ปี 2018 มูคูนาเปลี่ยนจุดสนใจไปยังอุตสาหกรรมกาแฟและเผชิญความท้าทายมากมาย ทั้งขาดแคลนเงินทุน แหล่งจ่ายไฟไม่เสถียร อุปกรณ์เชื่อถือไม่ได้ และโครงสร้างพื้นฐานย่ำแย่ ซึ่งส่วนที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือข้อเท็จจริงที่ว่าเธอเป็นผู้ประกอบการหญิง
มูคูนายอมรับว่าตอนแรกเธอไม่แน่ใจในตัวเองที่กลายเป็น “เด็กหญิงคนใหม่” ในอุตสาหกรรมกาแฟที่มีผู้ชายเป็นใหญ่ เพราะเธอมักถูกปฏิบัติด้วยวิถีทางแบบสั่งสอนเหมือนเธอเป็นเด็กน้อย แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้สั่นคลอนความมุ่งมั่นของมูคูนา กลับทำให้เธอแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม
(แฟ้มภาพซินหัว : ทิสยา มูคูนา ผู้ก่อตั้งแบรนด์กาแฟ “ลา คินอยส์” พูดคุยกับพนักงานที่โรงงานในเมืองกินชาซาของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก วันที่ 29 ก.ย. 2025)
ด้วยฐานะผู้หญิงที่พยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงและทำให้เห็นว่ากาแฟคองโกเป็นหนึ่งในกาแฟที่ดีที่สุด มูคูนาตั้งใจฟื้นฟูสถานะของประเทศในฐานะผู้ส่งออกกาแฟชั้นนำระดับโลก โดยปี 2023 กาแฟโรบัสตาของเธอคว้าชัยชนะในงานแสดงสินค้าเกษตรนานาชาติแห่งปารีส
มูคูนาฝึกอบรมเกษตรกร ฟื้นฟูแปลงเพาะปลูกที่ถูกทิ้งร้าง และซื้อเมล็ดกาแฟในราคาที่เป็นธรรมภายใต้โครงการฟื้นฟูแปลงเพาะปลูกเก่าของเธอ ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่จำเป็นต้องแห่ไปเมืองใหญ่เพื่อค้นหาความหวัง พวกเขาสามารถสร้างความหวังจากบ้านเกิดได้
การมีชีวิตแข็งแกร่งกว่าความตาย
ห้วงยามเช้ามืด โซมายา โชเมอร์ เดินผ่านซอยคับแคบของค่ายผู้ลี้ภัยอัล-นูเซรัต โดยเสื้อคลุมสีขาวของเธอพลิ้วกระพือเหมือนชุดเกราะ นี่เป็นทั้งเครื่องแบบและเกราะป้องกันของเธอในฉนวนกาซา ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์การต่อต้านขัดขืนท่ามกลางการทำลายล้าง
ข้างในโรงพยาบาลอัล-อาวดา โชเมอร์ ซึ่งเป็นสูตินรีแพทย์และคุณแม่วัย 34 ปี ได้ทำคลอดชีวิตใหม่กลางซากปรักหักพัง เสียงร้องไห้ของทารกเกิดใหม่ดังผสมปนเปกับเสียงระดมยิงกระสุนปืนที่ดังอยู่ไกลๆ
โชเมอร์เผยว่าทุกวันต้องรับมือกับผู้ป่วยมากกว่า 200 ราย และจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยสถานการณ์ที่โรงพยาบาลนั้นสะท้อนวิกฤตมนุษยธรรม มีผู้หญิงอยู่เต็มระเบียงทางเดินคับแคบเฝ้ารอเก้าอี้ที่นั่ง เสียงไซเรนรถพยาบาลดังผสมกับเสียงเด็กร้องไห้ พยาบาลจดชื่อผู้ป่วยมาใหม่ แพทย์ทำการรักษาด้วยอุปกรณ์จำกัด
(แฟ้มภาพซินหัว : เด็กชาวปาเลสไตน์ผู้พลัดถิ่น ซึ่งทนทุกข์กับภาวะทุพโภชนาการและสมองพิการ อยู่ในค่ายพักพิงที่ดัดแปลงมาจากโรงเรียนในเมืองกาซาซิตี วันที่ 25 ก.ค. 2025)
ท่ามกลางแสงสลัวจากโคมไฟอันเดียว โชเมอร์ทำอัลตราซาวน์บนท้องของคุณแม่คนหนึ่ง ภาพอัลตราซาวน์นั้นกระพริบไม่หยุด ดูอ่อนแอแต่ยังมีชีวิต ขณะด้านนอกโรงพยาบาลมีเสียงระเบิดดังผสมกับเสียงร้องไห้ของเด็กทารกเกิดใหม่
“สามีของฉันก็เป็นหมอ” โชเมอร์กล่าว “บางครั้งเราทั้งคู่ต่างทำงาน ต้องปล่อยลูกอยู่เพียงลำพัง นี่เป็นความรับผิดชอบอันหนักอึ้ง แต่เราก็ต้องไปต่อ”
“ทุกการเกิดใหม่ทำให้เรารู้สึกว่ายังมีหวัง รู้สึกว่าการมีชีวิตแข็งแกร่งกว่าความตาย” โชเมอร์กล่าว “เด็กทุกคนที่เกิดในกาซาเป็นดังข้อความที่บอกว่าผู้คนยืนหยัดมีชีวิตแม้เผชิญอุปสรรคความยากลำบาก”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี