เกาหลีใต้เอาจริง ส่งทีมกำลังพิเศษเข้าเขมร ช่วยเหยื่อ‘แก๊งสแกมเมอร์

เกาหลีใต้เอาจริง ส่งทีมกำลังพิเศษเข้าเขมร ช่วยเหยื่อ‘แก๊งสแกมเมอร์

วันพฤหัสบดี ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

สหรัฐฯ สั่งยึดบิตคอยน์ 4.9 แสนล้าน “เฉิน จื้อ”สแกมเมอร์ “จีน-เขมร”อดีตที่ปรึกษา“ฮุนเซน-ฮุน มาเนต” มีฐานเปิดศูนย์หลอกลวงในกัมพูชาบังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกาย ทรมานและฉ้อโกงเงินดิจิทัล ขณะที่“เกาหลีใต้”เอาจริง! ส่งทีมกองกำลังพิเศษเข้าไปกัมพูชา หลังพลเมืองสูญหาย 80 คน พร้อมส่งกลับชาวเกาหลีใต้ 63 คนถูกกัมพูชาควบคุมตัวในการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ หวั่นไม่ปลอดภัย ระงับส่งอาสาสมัครให้ความรู้การแพทย์ไป’กัมพูชา’ 

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 มีรายงานว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ(DOJ)สั่งยึด Bitcoin ของนาย เฉินจื้อ นักธุรกิจจีนสัญชาติกัมพูชา มูลค่าหลายพันล้านจากกลโกงคริปโต ครั้งใหญ่ในกัมพูชา โดยนายเฉิน จื้อซึ่งถูกกล่าวหาว่าดำเนินค่ายแรงงานบังคับในกัมพูชาโดยบังคับใช้แรงงาน ทำร้ายร่างกายและทรมาน ที่ถูกค้ามนุษย์ดำเนินการฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัลและสามารถกวาดเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์


สหรัฐกล่าวว่า เฉิน จื้อ แห่ง Prince Holding Groupและพวกพ้องของเขา ถูกกล่าวหาว่าสร้างรายได้มากถึง 30ล้านเหรียญสหรัฐต่อวันจากการหลอกลวงครั้งหนึ่ง และฉินเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตและบิดาของเขาอดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน และได้รับเกียรติบรรดาศักดิ์“ออกญา”เทียบเท่ากับขุนนางอังกฤษและไทยในอดีต

เฉิน จื้อ ชายวัย 37 ปีซึ่งรู้จักกันในชื่อ วินเซนต์ เป็นผู้ก่อตั้ง Prince Holding Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่ทางการระบุว่าทำหน้าที่เป็นฉากหน้าของ “หนึ่งในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย” ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ

กระทรวงยุติธรรม ยังได้ยื่นฟ้องริบทรัพย์สินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โดยยึด Bitcoinได้ประมาณ 127,271บิตคอยน์ คิดเป็นมูลค่าราว15,000ล้านดอลลาร์ หรือ 4.9 แสนล้านบาท ในราคาปัจจุบัน อัยการสูงสุด แพม บอนดี กล่าว“การดำเนินการในวันนี้ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่สุดในการปราบปรามการค้ามนุษย์และการฉ้อโกงทางการเงินผ่านไซเบอร์ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงระดับโลก”

มีรายงานว่าเฉินได้สั่งการให้มีการบังคับใช้แรงงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วกัมพูชาโดยมีการกักขังแรงงานค้ามนุษย์หลายร้อยคนไว้ในสถานที่คล้ายเรือนจำที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและลวดหนาม

ปีที่แล้วชาวอเมริกันสูญเสียเงินอย่างน้อย1หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับการหลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเพิ่มขึ้น66% จากปี 2023 กระทรวงการคลังสหรัฐฯระบุและเรียก Prince Holding Groupว่าเป็น “ผู้เล่นหลัก”ในอุตสาหกรรมนี้ างการจีนได้ดำเนินการสืบสวนบริษัทนี้ในข้อหาหลอกลวงทางไซเบอร์และการฟอกเงินมาตั้งแต่ต้นปี 2020 ตามบันทึกของศาลที่ตรวจสอบโดยสถาบันสันติภาพสหรัฐฯ

ภายใต้การคุกคามของความรุนแรง พวกเขาถูกบังคับให้ดำเนินการตามกลลวงที่เรียกว่า”การฆ่าหมู”ซึ่งเป็นแผนการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างความไว้วางใจกับเหยื่อในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะขโมยเงินของพวกเขาไป แผนการดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่เหยื่อทั่วโลก ทำให้เกิดการสูญเสียนับพันล้าน

ศูนย์หลอกลวง ทั่วทั้งกัมพูชา เมียนมาร์และภูมิภาคอื่นๆใช้โฆษณาหางานปลอมเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติซึ่งหลายคนเป็นชาวจีน ให้มาทำงานในสถานที่ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ โดยคนเหล่านี้ถูกบังคับให้ฉ้อโกงทางออนไลน์ภายใต้ภัยคุกคามของการทรมาน

เฉินเป็นผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าวติดตามผลกำไรและแผนการต่างๆ และยังมีภาพการทุบตีและการทรมานเหยื่ออีกด้วย เขาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับการลงโทษผู้ที่“ก่อปัญหา”แต่เน้นย้ำว่าคนงาน“ไม่ควรถูกตีจนตาย”ผู้หลอกลวงมักติดต่อเหยื่อผ่านแอป ส่งข้อความหรือโซเชียลมีเดียโดยสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงจากการลงทุน ตามที่ฟ้องระบุ นับตั้งแต่ประมาณปี 2015 Prince Group ได้ดำเนินกิจการในกว่า 30 ประเทศภายใต้ข้ออ้างของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และผู้บริโภคที่ถูกกฎหมาย อัยการกล่าว

เฉินและผู้บริหารระดับสูงถูกกล่าวหาว่า ใช้อิทธิพลทางการเมืองและติดสินบนเจ้าหน้าที่ในหลายประเทศเพื่อปกป้องการดำเนินงาน รายได้ส่วนหนึ่งถูกฟอกเงินผ่านการพนันและการขุดสกุลเงินดิจิทัลของ Prince Group เอง เจ้าหน้าที่เผยว่าเงินที่ถูกขโมยไปนั้น จะถูกนำไปใช้ในการซื้อของหรูหราต่างๆรวมถึงนาฬิกา เรือยอทช์ เครื่องบินส่วนตัว บ้านพักตากอากาศและภาพวาดของปิกัสโซที่ซื้อจากบ้านประมูลแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก

เฉินอาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 40 ปี หากถูกตัดสินว่า มีความผิดฐานฉ้อโกงทางสายโทรศัพท์และสมคบคิดฟอกเงิน ในการดำเนินการประสานงานกันเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อังกฤษ ได้อายัดทรัพย์สิน 19 แห่งในลอนดอน มูลค่ากว่า 100ล้านปอนด์ ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายของเฉินรวมถึงคฤหาสน์มูลค่า 12 ล้านปอนด์ในลอนดอนตอนเหนือ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าทีมรับมือพิเศษของรัฐบาลเกาหลีใต้ที่ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานเตรียมออกเดินทางไปกัมพูชาในวันนี้เพื่อประสานกับรัฐบาลกัมพูชาในการหาทางแก้ไขวิกฤตแก๊งหลอกลวงออนไลน์หรือสแกมเมอร์

เว็บไซต์สำนักข่าวยอนฮับของทางการเกาหลีใต้รายงานว่าทีมรับมือพิเศษประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงต่างประเทศ ตำรวจ และหน่วยข่าวกรอง มีกำหนดเดินทางไปยังกรุงพนมเปญในวันนี้ เพื่อประสานกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลกัมพูชา เรื่องหาทางแก้ไขการก่ออาชญากรรมของแก๊งสแกมเมอร์ที่หลอกลวงชาวเกาหลีใต้ที่ต้องการหางานทำ แต่กลับถูกค้ามนุษย์ ทรมานและกักขังรวมทั้งจะขอความร่วมมือจากกัมพูชาเรื่องการส่งกลับชาวเกาหลีใต้ 63 คน ถูกทางการกัมพูชาควบคุมตัวจากการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์หลอกคนหางาน คนเหล่านี้จะถูกดำเนินคดีในเกาหลีใต้ เพราะพัวพันการทำผิดกฎหมาย มีรายงานว่า ชาวเกาหลีใต้หลายคนไปทำงานกับแก๊งสแกมเมอร์ด้วยความสมัครใจ

ยอนฮับ ระบุว่า ปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ได้กลายเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกของรัฐบาลเกาหลีใต้ที่กำลังถูกสาธารณชนวิพากษ์วิจารณ์ว่าปล่อยปละละเลยและปล่อยให้ประชาชนตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมรุนแรงที่บานปลายจนเกินความควบคุม คาดว่า ทีมรับมือพิเศษที่นำโดย คิม จี นา รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศเกาหลีใต้ จะขอให้ทางการกัมพูชาให้ความร่วมมือในการสอบสวนการเสียชีวิตของนาย พัค มิน โฮ นักศึกษาเกาหลีใต้วัย 20 ปีเศษที่ถูกพบศพในรถยนต์คันหนึ่งใกล้ภูเขาโบกอร์ในจังหวัดกำปอต ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกัมพูชาเมื่อเดือนสิงหาคม หลายสัปดาห์ หลังจากเขาทำงานให้กับแก๊งสแกมเมอร์ชาวจีน นับเป็นชาวเกาหลีใต้รายแรกที่เป็นข่าวว่าเสียชีวิตจากแก๊งสแกมเมอร์ ที่หลอกคนหางานจนถึงขณะนี้ร่างของเขายังไม่ได้รับการส่งกลับเกาหลีใต้ เป็นเพราะกัมพูชาไม่ให้ความร่วมมือ

ก่อนหน้านี้ กระทรวงต่างประเทศเกาหลีใต้แถลงว่ายังมีชาวเกาหลีใต้ที่เชื่อมโยงกับแก๊งสแกมเมอร์หลอกคนหางานที่อยู่ในกัมพูชา แต่หาตัวไม่พบอยู่ 80 คนและทั้ง 2 ประเทศได้ตกลงให้เจ้าหน้าที่สอบสวนตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาที่กลายเป็นปัญหาระดับโลก

สำนักข่าว Chosun ของเกาหลีใต้รายงานว่าเมืองอินชอนประกาศระงับการรับสมัครอาสาสมัครในโครงการ “อาสาสมัครแพทย์เยาวชนนานาชาติอินชอน” ที่มีกำหนดเดินทางไปปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขในประเทศกัมพูชา หลังมีรายงานว่านักศึกษาเกาหลีใต้เสียชีวิต และมีชาวเกาหลีใต้อย่างน้อย 80 คนสูญหายระหว่างเดินทางในประเทศกัมพูชา ตามกำหนดเดิม โครงการนี้เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน ถึง 22 ตุลาคม 2568 โดยอาสาสมัครมีกำหนดเดินทางระหว่างวันที่ 15–20 ธันวาคม 2568 เพื่อร่วมกิจกรรมให้ความรู้ด้านสุขอนามัยช่องปาก และช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมในโรงเรียนท้องถิ่นของกัมพูชา เป็นระยะเวลา 6 วัน ก่อนเดินทางกลับประเทศ

การตัดสินใจระงับโครงการมีขึ้นหลังจากกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ เปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า ปัจจุบันยังมีชาวเกาหลีใต้อีกประมาณ 80คนที่ยังไม่ทราบชะตากรรม หลังเดินทางเข้าสู่ประเทศกัมพูชาโดยเจ้าหน้าที่ระบุว่าตั้งแต่ปี2567จนถึงเดือนสิงหาคม 2568 มีรายงานชาวเกาหลีใต้สูญหายหรือถูกกักขังในกัมพูชาสูงถึง550ราย แบ่งเป็นปี 2567จำนวน 220 คน และปี 2568 จำนวน 330 คน

ในจำนวนนี้ทางการเกาหลีใต้สามารถช่วยเหลือ หรือยืนยันสถานะได้แล้วประมาณ 470คน ซึ่งรวมถึงกรณีที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้รับการช่วยเหลือแล้วส่งกลับประเทศ หรือสามารถติดต่อได้อีกครั้ง ยังคงมีชาวเกาหลีใต้อีกประมาณ 80คนที่ยังไม่ทราบชะตากรรมแน่ชัด ขณะนี้เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ กำลังเร่งประสานงานกับทางการกัมพูชาอย่างใกล้ชิดเพื่อค้นหาผู้สูญหายและประเมินความปลอดภัยในการดำเนินโครงการอาสาระหว่างประเทศในอนาคต

ที่รัฐสภานายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่ประเทศเกาหลีใต้ส่งคนเข้ามานำชาวเกาหลีใต้ ออกจากประเทศกัมพูชาหลังตกเป็นเหยื่อของสแกมเมอร์ ประเทศไทยจะมีท่าทีอย่างไรหรือไม่นายกฯตอบเพียงสั้นๆว่า“มีคนรับผิดชอบอยู่แล้ว”ก่อนเดินออกจากวงสัมภาษณ์ไปทันที ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามต่อถึงกรณี นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนได้ตั้งคำถามว่าสหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้ได้เริ่มดำเนินการเรื่องสแกมเมอร์แล้วไทยจะทำอย่างไรต่อไปนายอนุทินไม่ตอบคำถามได้เดินเข้าลิฟท์ทันที

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top