22 ตุลาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้แทนรัฐสภากัมพูชา 'อุช โบฤทธิ์' (Ouch Borith) รองประธานวุฒิสภา ขึ้นกล่าวบนเวที General Debate ในการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา (IPU) ครั้งที่ 151 ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น
โดยก่อนหน้านี้ 'อุช โบฤทธิ์' รองประธานวุฒิสภา ไม่ปรากฏตัวเลยในห้องประชุมต่างๆ ของ IPU ตลอด 2 วันที่ผ่านมา รวมถึงเวที General Debate ซึ่งเป็นเวทีใหญ่วันแรกเมื่อวานนี้ที่เปิดให้ประธานรัฐสภาจากประเทศต่างๆ ได้อภิปรายต่อที่ประชุมคนละ 6-7 นาที ซึ่งต่อมา 'อุช โบฤทธิ์' มีคิวพูดในลิสต์ Bเพราะเป็นรองประธานวุฒิสภา ไม่ใช่ประธาน จึงถูกจัดคิวพูดในวันที่ 2 ของเวที General Debate
การขึ้นกล่าวปราศรัยของ 'อุช โบฤทธิ์' เป็นไปตามความคาดหมายของทีมไทยแลนด์ ฉวยโอกาสโจมตีไทย จากปัญหาพิพาทตามแนวชายแดนด้วยข้อมูลบิดเบือนเข้าข้างตัวเอง
โดยเขาเริ่มกล่าวด้วยการแสดงไมตรีจิต โดยขอบคุณผู้แทนจากไทยที่มีส่วนร่วมในสมัชชาสหภาพรัฐสภา และยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในเวทีนานาชาติ พร้อมย้ำว่า กัมพูชายึดมั่นสันติภาพ ความปรองดอง และปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศทุกข้ออย่างซื่อสัตย์ แต่แล้วเขาก็วนมาพูดถึงปัญหาพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยอ้างว่า หากประเมินสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของการประชุม IPU หนนี้ จะพบว่ามาตรฐานมนุษยธรรมถูกละเมิดอย่างรุนแรงจากปัญหาตามแนวชายแดนของกัมพูชา ซึ่งมีปัญหามาเนิ่นนาน
"กัมพูชาไม่คิดจะเป็นศัตรูกับใครทั้งสิ้น จึงขอร้องประเทศไทย ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านของเรา ให้รับทราบเรื่องนี้ด้วย"
"สงครามระหว่างไทยกับกัมพูชา เรื่องพรมแดนล้วนมีขอบเขตตามที่กำหนดโดยกฎหมาย ถูกควบคุมโดยเครื่องมือระหว่างประเทศที่มีผลผูกพัน ตั้งแต่สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ค.ศ.1904 ซึ่งมีแผนที่ประกอบเป็นหลักฐาน นอกจากนั้นยังมีสนธิสัญญาอีกหลายฉบับ ตลอดจนหลักกฎหมาย รวมถึงคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ค.ศ. 1962 ด้วย หลักฐานยังถูกเขียนขึ้นโดยบันทึกข้อตกลงปี 2000 (MOU 2543) มีการตั้งกรรมาธิการร่วม รับผิดชอบทางด้านเทคนิคในการดำเนินการเรื่องเขตแดน น่าเสียดายที่ความขัดแย้งนี้ควรได้รับการพิจารณาตามเครื่องมือทางกฎหมาย รวมถึงอำนาจตุลาการที่ได้รับการยอมรับ" อุช โบฤทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ผู้แทนรัฐสภากัมพูชา ได้ถือโอกาสแสดงความขอบคุณประเทศจีน มาเลเซีย และ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ สำหรับความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา และมีการสร้างผลงานสำคัญขึ้นมา นั่นก็คือข้อตกลงหยุดยิงของทั้งสองประเทศ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม แม้กระบวนการตามข้อตกลงจะมีความก้าวหน้า แต่บริเวณพรมแดนยังคงเปราะบาง ชาวบ้านกัมพูชายังคงถูกโยกย้าย ถูกปิดล้อม และถูกดดันให้ออกจากพื้นที่ ทหารกัมพูชา 18 คนยังถูกควบคุมตัว ซึ่งถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน
นอกจากนั้นยังมีปฏิบัติการจิตวิทยา ปล่อยเสียงแหลมดังในเวลากลางคืน ทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัว แม้การกระทำเช่นนี้จะไม่ใช่การโจมตีอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง แต่ก็เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศหลายข้อ โดยเฉพาะสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง โดยไทยกระทำการฝ่ายเดียวเพื่อกำหนดข้อบังคับต่างๆ อ้างว่าเป็นการกระทำภายในประเทศของตน
'อุช โบฤทธิ์' กล่าวอีกว่า กัมพูชายอมรับไม่ได้ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดต่อมรดกโลก เพราะปราสาทพระวิหาร และปราสาทต่าง ๆ เป็นของกัมพูชา การส่งกำลังทหารเข้าไปก็เพื่อพิทักษ์ปราสาทของเรา เป็นพื้นที่ของกัมพูชา รวมถึงการวางอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ก็อยู่ในเขตอธิปไตยของกัมพูชา และเขาได้กล่าวย้ำว่า "กัมพูชาเคารพต่อข้อตกลงหยุดยิง กฎหมายระหว่างประเทศ และสนธิสัญญาทุกฉบับ"
การออกมาปราศรัยของ 'อุช โบฤทธิ์' ผู้แทนรัฐสภากัมพูชา เรียกได้ว่ากินเวลาไปมาก ทั้งที่บนโพเดียมจะมีไฟสีแดงเตือนและมีแสงคล้ายไซเรน แต่เขาก็ยังไม่หยุดพูด จนต่อมา ประธานการประชุมของสมัชชาสหภาพรัฐสภา ได้ออกมาแจ้งเตือนว่า "หมดเวลา" แต่เขาก็ยังไม่สนใจ พยายามพูดจนจบในประเด็นที่เตรียมมา จนกระทั่งประธานที่ควบคุมเวทีสมัชชาสหภาพรัฐสภา ได้กล่าวตำหนิว่า เป็นการพูดที่ไม่เคารพเวลา ส่งผลกระทบต่อสมาชิกชาติอื่นๆ เพราะทุกคนก็อยากพูดเช่นเดียวกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี