7 พฤศจิกายน 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า 'สหรัฐฯ' ได้ยกเลิกคำสั่งห้ามค้าขายอาวุธให้กัมพูชาแล้ว หลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กำกับดูแลการลงนามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

'โจ ไบเดน' อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้สั่งห้ามการส่งออกอาวุธไปยังกัมพูชาในปี 2021 โดยอ้างถึงอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของกองทัพจีนในกัมพูชา รวมถึงประเด็นสิทธิมนุษยชนและข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริต

ตามประกาศใน Federal Register มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ยกเลิกข้อจำกัดดังกล่าวโดยอ้างว่า "กัมพูชาได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อสันติภาพและความมั่นคง รวมถึงการมีส่วนร่วมกับสหรัฐฯ ในด้านความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศและการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ"

สหรัฐฯ ระบุว่า ขณะนี้การขายอาวุธจะได้รับอนุญาตเป็นรายกรณี  ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า สหรัฐฯ ได้แก้ไขปัญหาความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลทางทหารของจีนในกัมพูชาหรือไม่ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการขยายฐานทัพเรือเรียมของจีนมาหลายปี ซึ่งทำให้ปักกิ่งมีฐานทัพอีกแห่งในทะเลจีนใต้ที่เป็นข้อพิพาท

การตัดสินใจของสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังจากที่ 'พีต เฮกเซธ' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา กล่าวภายหลังการพบปะกับ 'เตีย เซ็ยฮา' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ณ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า "เราตกลงที่จะเริ่มการซ้อมรบทวิภาคีครั้งสำคัญกับกัมพูชาอีกครั้ง"

'เกรกอรี โพลิง' ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และระหว่างประเทศในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า เขาเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นเชิงสัญลักษณ์ เนื่องจากเขาสงสัยว่ากัมพูชาอาจไม่มีความสนใจหรือศักยภาพในการจัดหายุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยของสหรัฐฯ

ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดขึ้นในปัจจุบันสอดคล้องกับ รูปแบบเดิมๆ ที่รัฐบาลสหรัฐฯ แต่ละชุดต้องการปรับความสัมพันธ์กับกัมพูชาใหม่ โดยตั้งสมมติฐานว่า ผู้นำกัมพูชาเชื่อว่าพวกเขาเอนเอียงไปทางจีนมากเกินไป

โดยทาง 'ทรัมป์' มีความกังวลเรื่องสิทธิน้อยกว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ชุดก่อนๆ ดังนั้นบางทีช่องทางนี้อาจมีความยั่งยืนมากกว่าความพยายามก่อนหน้านี้ 'เกรกอรี โพลิง' กล่าว แม้ว่าจะยังไม่มีสัญญาณว่ากัมพูชาจะอนุญาตให้สหรัฐฯ เข้าถึงพื้นที่ฐานทัพเรือเรียมที่ดูเหมือนจะถูกกันไว้สำหรับใช้งานเฉพาะของจีนก็ตาม "ผมคาดว่านั่นจะเป็นบททดสอบที่แท้จริงของความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญนี้ในความสัมพันธ์ด้านกลาโหม"