นักวิจัยระบุว่า อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผชิญกับพายุและไต้ฝุ่นรุนแรง โดยล่าสุดคือไต้ฝุ่นคัลแมกี (Kalmaegi) ที่สร้างความเสียหายหนักให้แก่ฟิลิปปินส์และขึ้นฝั่งเวียดนามวันนี้

ผศ.ดร.จันมาร์โก เมนกัลโด (Gianmarco Mengaldo) คณะวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์กล่าวว่า สภาพภูมิอากาศที่อุ่นขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้บรรยากาศมีความชื้นเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มีฝนตกมากขึ้น ขณะเดียวกันน้ำในมหาสมุทรที่อุ่นขึ้นจะยิ่งทำให้เกิดพายุและไต้ฝุ่นที่รุนแรงขึ้น ขณะนี้ภูมิภาคเขตร้อนในมหาสมุทรแปซิฟิกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในรูปแบบสภาพอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงในการไหลเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิก อันเป็นส่วนหนึ่งของความผันแปรของระบบอากาศในซีกโลกใต้เอลนีโญ หรือ เอ็นโซ (El Niño-Southern Oscillation หรือ ENSO) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์สภาพภูมิอากาศตามธรรมชาติ

ผศ.ดร.เมนกัลโดระบุว่า ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เชื่อมโยงกับการเกิดคลื่นความร้อนบ่อยครั้งขึ้นและมีฝนตกหนักรุนแรงมากขึ้นทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ไม่ได้พูดถึงกันมากนักคือ การที่ไต้ฝุ่นทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็วมากขึ้น ทำให้ยากต่อการพยากรณ์ด้วยเครื่องมือที่มีอยู่ในปัจจุบัน จึงเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง สภาพอากาศสุดขั้วเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ไม่เคยเผชิญกับความรุนแรงเช่นนี้มาก่อน ทำให้ไม่ได้เตรียมตัว ผลกระทบจากความเสียหายจึงหนักหน่วงกว่าพื้นที่ที่มีประสบการณ์กับสภาพอากาศสุดขั้วมาก่อนและมีมาตรการบางอย่างสำหรับรับมือกับผลกระทบ

คัลแมกีซึ่งเป็นไต้ฝุ่นลูกที่ 13 ของปี 2568 พัดถล่มฟิลิปปินส์และเวียดนามในขณะที่ผู้แทนกว่า 190 ประเทศจะเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 (COP30) ที่เมืองเบเล็มของบราซิลระหว่างวันที่ 10-21 พฤศจิกายนนี้ แวดวงนักวิจัยกล่าวโทษบรรดาผู้นำประเทศว่าล้มเหลวในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นเหตุให้เกิดพายุรุนแรงขึ้น