เป็นนักบริหารที่เก่งสุดๆ ทีเดียว สำหรับ “สรัญ รังคสิริ” ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (Chief Operating Officer-COO) กลุ่มปิโตเลียมขั้นปลาย ปตท. ที่นอกจากจะบริหารงานใน ปตท.ตั้งแต่เพิ่งก่อตั้งจนเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงแล้ว ยังใส่ใจครอบครัวและเพื่อนร่วมงานอีกด้วย รายการ “ผู้หญิงแนวหน้ากับคุณแหน” ทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00-16.25 น. ทางสถานี TNN2 ช่อง 784 ช่วง Focus On พิธีกร “ขิม-ทิพย์ลดา พูนศิริวงศ์” ได้พาไปพูดคุยด้วย
สรัญ รังคสิริ เล่าว่า “ผมได้มีโอกาสทำงานกับ ปตท. ตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ ปี 2525 จนถึงวันนี้ก็ 30 กว่าปีแล้ว ภูมิใจและดีใจที่ได้มีโอกาสร่วมกับองค์กรนี้ตั้งแต่วันที่ยังเป็นองค์กรที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ๆ ยังไม่ค่อยมีคนรู้ว่ามันมีความสำคัญอย่างไร แล้วก็จากปั๊มน้ำมันเก่าๆ จากก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นมา ยังไม่รู้จะต่อยอดทำประโยชน์อะไรได้ จนถึงวันนี้เราได้เติบโต จากจุดนั้นมาถึงวันนี้ ก็ถือว่าเราทำภารกิจที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่ให้กับประเทศ ก็ถือเป็นความภูมิใจ
เรื่องของหลักการในการบริหารธุรกิจนั้น เชื่อว่าคงไม่มีใครที่เก่งคนเดียว เชื่อว่าความสำเร็จต่างๆ มันเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของทุกคน การที่ทำให้ทุกคนมีขวัญกำลังใจ มีความคิดจะช่วยกันทำงานเพื่อองค์กรเพื่อส่วนรวม เป็นจุดสำคัญ แล้วก็เห็นว่าในองค์กรแห่งนี้เวลาจะทำอะไรเราทำจริง ทุกคนจะช่วยกันคนละไม้คนละมือทำกัน ก็เป็นอะไรที่ทำให้เกิดความสำเร็จในวันนี้
ส่วนเรื่องวันว่างเรื่องชีวิตส่วนตัว ถามว่าผมให้เวลากับอะไรสำคัญที่สุด ตรงนี้ถ้าพูดตรงๆ ก็คือเป็นคนให้เวลากับการทำงานเยอะมาก จะเรียกว่าทำงานตลอด 7 วัน เลยก็ได้ ก็เป็นคนอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราละเลยกับภารกิจอื่นนะ ด้วยความโชคดีที่ว่าครอบครัวค่อนข้างที่จะช่วยตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นภรรยา คุณพ่อคุณแม่ ก็จะแข็งแรงแล้วก็ช่วยตัวเองได้ เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่ได้ไปเสียเวลากับครอบครัวมากนัก ทุกคนก็สนับสนุนเราให้เราทำงานอย่างเต็มที่ในภาระหน้าที่ เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสและเป็นไปได้ ไปไหนเราก็จะไปด้วยกันเป็นครอบครัว ไปต่างประเทศ หรือเดินทางไปต่างจังหวัดในโอกาสที่มี ก็จะเป็นการส่งเสริมกันระหว่างงานและก็ครอบครัว
สรัญ รังคสิริ COO คนเก่งแห่งปตท. กับ พิธีกรรายการ ขิม-ทิพย์ลดา พูนศิริวงศ์
เรื่องมุมมองส่วนตัว ถามว่ามีบทบาทไหนบ้างที่คนไม่ค่อยทราบ ผมจบมาก็จบมาทางช่าง เป็นวิศวกร คนก็จะมองว่าคงเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเครื่องจักรเครื่องยนต์อะไรต่างๆ แต่จริงๆ แล้วก็เป็นวิศวกรที่ไม่ค่อยเป็นวิศวกรเท่าไหร่ แล้วเป็นคนที่ชอบเขียนหนังสือ ชอบอ่านหนังสือ ชอบทำงานติดต่อพบผู้คนมากกว่า ก็จะเป็นวิศวกรที่ไม่ถึงกับเป็นช่างเต็มตัวนัก
แต่ก็ด้วยลักษณะของเราก็ทำให้เราเชื่อมโยงระหว่างงานที่ต้องติดต่อประสานงานกับใครต่อใคร แล้วก็ตัวงานที่เป็นด้านเทคนิคจริงๆ ก็สามารถที่จะทำให้กลมกลืน แล้วก็ดำเนินการไปได้ ผมเป็นคนแรกๆ ของปตท.เลยก็ได้ที่ส่งไปทำงานต่างประเทศ ตอนนั้นปตท.ก็มีนโยบายที่จะออกไปทำงานต่างประเทศ ที่เขาเรียกโกอินเตอร์ ก็จะส่งไป ก็ไปลงทุนที่เวียดนาม ตอนนั้นก็ไปอยู่เวียดนาม 3 ปี ลูกก็ยัง 3 ขวบอยู่ ก็ตัดสินใจไปคนเดียว ทิ้งบ้านไว้ แล้วก็ไปทำงานที่เวียดนาม แล้วก็สร้างคลังแอลพีจี จนกระทั่งเกิดธุรกิจเรียบร้อยหมดก็กลับมา ก็ประสบความสำเร็จ 3 ปี ตรงนั้นก็ถือเป็นอะไรที่ท้าทาย แล้วก็ได้ใช้ทุกอย่างที่เรียนรู้มา ก็ถือว่าได้ทำอะไรที่ค่อนข้างคนนึกว่าจะทำได้เหรอ เราก็อายุไม่มาก อายุสัก 30 กว่าปีเอง ไปทำงานคนเดียวแล้วก็ในภาวะที่ทุกอย่างยังยากไปหมด ยังไม่พร้อม ประเทศก็เพิ่งเปิด
ถามว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จ อย่างที่ได้เกริ่นตอนแรก มีความเชื่อว่างานความสำเร็จทั้งหลายแหล่มันไม่ได้
เกิดจากแค่คนคนเดียว หรือทำอะไรคนเดียวมันไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ การทำงานที่เป็นทีม มีเพื่อนร่วมงานที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ เรื่องพวกนี้มันพูดง่าย ทำทีมเวิร์กๆ คนก็จะพูดไป แต่จริงๆ แล้วมันไม่ง่ายเลย จะทำได้มันก็ต้องเป็นคนที่เสียสละ เป็นคนที่มองเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่า ทำนองนี้นะครับ อารมณ์พวกนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำ
แล้วก็ต้องทำเป็นตัวอย่างให้คนที่อยู่ภายใต้เราเขารู้สึกอยากจะทำงานด้วย แล้วก็สนุกกับการทำงาน ก็เป็นแรงบันดาลใจ
ให้เรารู้สึกว่า ถึงเราจะไม่เก่งนะ แต่ก็มีคนเก่งๆ มาช่วยเราทำงานได้ค่อนข้างเยอะ ผมเชื่อว่าหลายๆ อย่างที่เรามีความสำเร็จวันนี้ ไม่ใช่ตัวเราหรอก เป็นคนที่อยู่รอบๆ ตัวเราช่วยเราทั้งนั้น แต่ด้วยความที่เราไม่ได้ทำงานให้งานเสร็จอย่างเดียว ทำแล้วมันก็ต้อง
ได้ใจเพื่อน ได้ใจนาย ได้ใจคนรอบข้างด้วย นั่นก็เป็นสิ่งที่สำคัญ และทำให้งานสนุก ไม่เครียด
อะไรที่หล่อหลอมให้ผมเป็นผมทุกวันนี้ อาจจะเป็นเพราะผมเติบโตมาจากการที่เราอยู่โรงเรียนประจำมาตั้งแต่ 6 ขวบ ตอนนั้นก็อยู่ ป.1 แล้วก็มาเข้า วชิราวุธวิทยาลัยตั้งแต่ ป.3 จนจบ มศ.5 ก็สิบปีที่อยู่โรงเรียนประจำ ก็ทำให้เรารู้สึกได้เรียนรู้อะไรมากมาย นอกจากการเรียนในห้องเรียนแล้ว การเรียนรู้จากนอกตำรา ไม่ว่าจะเป็นเรียนรู้จากเพื่อน เรียนรู้จากการเล่นกีฬา มันทำให้เราปลูกฝังความเป็นตัวตนของเรา ว่าเราจะอยู่ได้มันก็ต้องพึ่งพากัน ต้องอยู่กันด้วยทีมสปิริต อยู่ได้ด้วยการเสียสละต่างๆ ก็เป็นอะไรที่เหมือนกับโรงเรียนประจำหล่อหลอมมา การที่เราได้มีโอกาสอยู่ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นตั้งแต่ยังเล็กๆ แม้กระทั่งเราโตมาวันนี้ พอดีผมมีลูกชาย 2 คนก็ไม่ผิดหวังเลย ผมก็ให้ลูกไปเรียนวชิราวุธวิทยาลัยเหมือนกัน และก็อยากให้เขาเติบโตมาในเส้นทางที่เราคิดว่าเราได้เรียนรู้ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่
กับเรื่องหลักการในการดำรงชีวิตและประกอบธุรกิจนั้น จริงๆ แล้วเป็นคนที่ไม่ค่อยมองไกลมากนักหรอก เป็นคนที่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วก็พยายาม เขาเรียกถ้าเป็นนักกีฬาก็คือมองช็อตต่อช็อต มองเกมส์นี้ให้ดีที่สุด และทำวันนี้ให้ดีที่สุด แต่ไม่ถึงขนาดเพ้อฝันว่าเราอยากจะเป็นโน้นเป็นนี่ แต่ว่าพอเราทำไปแล้ว หลายๆ อย่างที่เราทำไปมันก็จะสะท้อนกลับมา และช่วยเป็นแรงผลักดันให้เราเติบโตขึ้นมาจนถึงวันนี้”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี