พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ นอกจากจะมีพระอัจฉริยภาพในฐานะ “เจ้าหญิงดีไซเนอร์” ที่ทรงมีผลงานโดดเด่นด้านแฟชั่นดีไซน์บนเวทีแฟชั่นระดับโลกแล้ว ยังทรงเป็น “เจ้าหญิงนักกีฬา” ที่ทำคนไทยทั้งต่างประเทศถึงกับหลั่งน้ำตา ปลื้มปีติไปกับพระปรีชาสามารถ จากการที่ทรงทำทัพนักกีฬาทีมชาติไทย คว้าเหรียญรางวัลในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์และซีเกมส์ ทั้งกีฬาแบดมินตันและการกีฬาแข่งม้า ประเภทศิลปะบังคับม้า (Dressage) ทรงได้รับการกล่าวขานว่า เป็นนักกีฬาประวัติศาสตร์กีฬาซีเกมส์ ที่ร่วมการแข่งขันต่างชนิดกีฬาและชนะเหรียญรางวัล เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้ชมทั่วโลก

หลังการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 23 ณ ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อพ.ศ.2548 จบลงอย่างเป็นทางการ ภาพจำของ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ จากสายตาประชาชนชาวไทย ในฐานะ “เจ้าหญิงนักกีฬา” ที่ทรงชนะเลิศเหรียญทอง กีฬาแบดมินตัน ประเภททีมหญิง ยังคงอยู่ในความทรงจำของคนไทย ตามมาด้วยเส้นทางสายใหม่ในบทบาทของ “เจ้าหญิงดีไซเนอร์” อย่างเต็มพระองค์

พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ได้เสด็จทรงศึกษาต่อและทรงงานด้านแฟชั่น ที่กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส กระทั่งสำเร็จการศึกษา จากสถาบันเอโกล เดอ ลา ฌอมป์ซินดิกัล เดอ ลา กูตูร์ปารีเซียง ทรงฉายแววในฐานะ “เจ้าหญิงดีไซเนอร์” เมื่อทรงได้รับเชิญจากห้องเสื้อปิแอร์ บัลแมง ให้จัดแสดงผลงานการออกแบบเสื้อผ้า จำนวน 39 ชุด ในงานแสดงเสื้อผ้าปารีสแฟชั่นวีค (Paris Fashion Week : Spring/Summer 2008) ที่โอเปรา การ์นิเยร์กรุงปารีส เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ.2550 โดยเสื้อผ้าที่จัดแสดงทรงผสมผสานระหว่างเครื่องแต่งกายแบบชาวตะวันตก กับรูปแบบผ้านุ่งไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ ตัดเย็บโดยช่างจากวิทยาลัยในวังหญิง

ขณะที่เสด็จทรงศึกษาต่อและทรงงานด้านแฟชั่น ที่กรุงปารีส พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงหันกลับมาสนพระทัยการทรงม้าอย่างจริงจังอีกครั้ง เนื่องจากสภาพแวดล้อมของผู้คนในเมืองปารีสที่ชื่นชอบการขี่ม้า รวมทั้งพระสหายชาวต่างประเทศทูลเชิญให้ทรงม้า ทำให้พระองค์ทรงรำลึกถึงการทรงม้าเมื่อครั้งพระเยาว์ โดยทรงได้รับแรงบันดาลพระทัยจาก พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา

พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ตรัสถึงเสน่ห์ที่ได้รับจากการขี่ม้า จนรู้สึกชื่นชอบเป็นอย่างมากคือ “ความแฟร์” เนื่องจากเป็นกีฬาที่มีความสมดุลระหว่างเพศหญิงกับเพศชาย ไม่จำกัดอายุผู้เข้าแข่งขัน อีกทั้ง ยังมีความเป็นกีฬา “พาร์ตเนอร์ชิป” ที่น่าสนใจในด้านการจัดการเรื่องความสัมพันธ์

“การขี่ม้า เป็นกีฬาที่เราต้องเจอกันครึ่งทางระหว่างคนกับม้า บางครั้งอาจต้องหย่อนบ้างและเฮียบบ้าง เพราะบางทีถ้าเราคุมม้าไม่ดี ม้าจะกลับมาเป็นฝ่ายคุมเรา ท่านหญิงรู้สึกว่า ม้าไม่ต่างจากผู้หญิงหรือผู้ชาย มีอารมณ์ขึ้น-ลง มีทั้งตอนที่อารมณ์ดี อารมณ์ไม่ดี แกเป็นใคร ฉันเป็นใคร ถึงเธอจะเป็นเจ้าหญิง ฉันก็ไม่แคร์หรอกนะ เพราะฉะนั้นต้องมีการทำความเข้าใจไว้ใจซึ่งกันและกันและยังต้องมีความเคารพกันอีกด้วย”

อีกทั้ง พระองค์หญิงทรงมองว่ากีฬาขี่ม้าประเภทศิลปะการบังคับม้า เป็นศาสตร์ที่มีความเป็น “ศิลปะ” อย่างชัดเจน การควบคุมม้าให้เคลื่อนไหวไปในท่วงท่าที่คล้ายคลึงการเต้นระบำ ให้ความรู้สึกที่ไม่ต่างจากการทำงานแฟชั่นเลยแม้แต่น้อย ทำให้รู้สึกว่าได้ทำงานศิลปะทุกครั้งที่อยู่บนหลังม้า

หลังจากเสด็จกลับประเทศไทย ทรงกลับมาทบทวนการทรงม้า ณ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ หลังจากทรงมุ่งมั่นฝึกซ้อม พระองค์หญิงทรงเข้าร่วมการแข่งขันในระดับสโมสรภายในประเทศ ทรงลงแข่งขันในนาม หน่วยม้าทรงประจำพระองค์ ด้วยพระปรีชาสามารถทรงชนะเลิศประเภทศิลปะการบังคับม้าในรุ่น Free Style to Music ระดับ Novice ในการแข่งขันชิงแชมป์แห่งประเทศไทยปีพ.ศ.2555

ในเวลาต่อมา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงมีพระดำริที่จะฝึกซ้อมกีฬาขี่ม้าอย่างจริงจังจึงทรงเข้าศึกษาต่อด้านการขี่ม้าชั้นสูง Dressage และ Jumping ในหลักสูตร Internationale de Moniteur D"Equitation เป็นเวลา 1 ปี ณ โรงเรียนเลอ กาเดรอะ นัวร์ เมืองโซมูร์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นโรงเรียนเก่าแก่ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปีค.ศ.1825 และเป็นโรงเรียนสอนขี่ม้าติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก โดยทรงศึกษาทั้งการเป็นครูฝึกสอนขี่ม้าและทรงเป็นนักกีฬา Dressage และ Jumping รวมถึงทรงเรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการเกี่ยวกับม้า

ด้วยพระทัยอันมุ่งมั่นและพระวิริยอุตสาหะ จึงทรงสำเร็จการศึกษาจากสถาบันดังกล่าว จากนั้นสมาคมขี่ม้าแห่งประเทศไทย ได้ทูลเชิญเสด็จเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 27 สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เมื่อพ.ศ.2556 ทรงเข้าร่วมการแข่งขันในประเภทศิลปะบังคับม้า (Dressage) ทรงเป็นตัวแทนนักกีฬาทีมชาติไทย ลงแข่งรอบชิงชนะเลิศ ทรงทำคะแนนรวม 53.810 คะแนน จบอันดับที่ 10 ในการแข่งขัน พระองค์หญิงทรงยอมรับว่า ไม่คาดหวังในเรื่องเหรียญรางวัล เนื่องจากไม่ต้องการกดดันตัวเองมากเกินไปยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ อีกทั้ง ม้าที่ใช้ในการแข่งขันยังเป็น “ม้ากลาง” จากประเทศเมียนมาทำให้การแข่งขันในครั้งนั้นยากกว่าที่เคยผ่านมา

ต่อด้วยการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 17 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อพ.ศ.2557 ทรงเข้าแข่งขันกีฬาศิลปะการบังคับม้าประเภททีม ร่วมกับ เฉลิมฉาน ยศวิริยะพาณิชย์, รวิสรา เวชากร และภคินี พันธาภา ส่วนพระองค์หญิงได้คะแนนร้อยละ 58.079 รวมคะแนนเฉลี่ยทีมไทยอยู่อันดับที่ 7 ด้วยคะแนนเฉลี่ย ร้อยละ 62.711

ครั้งล่าสุด เมื่อพ.ศ.2560 ทรงเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาขี่ม้า ประเภทศิลปะบังคับม้า ในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ก่อนจะทรงเข้าร่วมการแข่งขันได้ประทานสัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า...“ก็จะเป็นการแข่งขันอีกครั้งหนึ่งที่ได้รับใช้ชาติในปีนี้ ถึงแม้ในหนังสือจะเป็นครั้งที่ 4 ก็ตาม รู้สึกว่าตัวเองอายุมากขึ้น และก็ยังสุขภาพแข็งแรงในการแข่งขัน ดีใจและภูมิใจทุกครั้งที่ได้มาแข่งขันให้กับประชาชนชาวไทยได้รับชมกัน”

อีกทั้ง ตรัสถึงทีมนักกีฬาชาติไทยว่า “ก็คือว่ามาแข่งขัน เราทำเพื่อชาติ เวลาแข่งขันก็มีความตั้งใจ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เวลาซ้อมมาอย่างไร ก็ขอให้เกินในสิ่งที่ตัวเองซ้อมมา ตั้งใจให้มากที่สุด ผลแพ้ชนะเป็นเรื่องของบทเรียนที่ต้องดำเนินชีวิตกันต่อไป อยากให้ตั้งใจ ขอให้คนไทยชมกีฬาอย่างสนุกสนาน อย่าไปกดดันนักกีฬามาก เพราะเขาก็มีความเครียดเหมือนกัน ขอให้มีความสุขกับการรับชมกีฬา”

และครั้งนี้ พระองค์หญิงทรงนำทีมนักกีฬาขี่ม้าไทย เฉลิมฉาน ยศวิริยะพาณิชย์, ภัคจิรา ธงภักดิ์ และ อาริย์ณัฏฐา ชวตานนท์ คว้าเหรียญเงิน ด้วยคะแนนรวม 206.211 คะแนน พระองค์ทรงทำให้คนไทยทั้งประเทศถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติ จากที่ประทานสัมภาษณ์ว่า “ดีใจมากค่ะ ปลื้มอยู่ข้างใน มันจะไหลออกมา ดีใจที่สุดคือ ตอนได้กอดพระบรมฉายาลักษณ์ท่านปู่ (ในหลวงรัชกาลที่ 9) ได้ถวายท่าน ปกติเวลาแข่งแล้วเราได้เหรียญ พระองค์ท่านจะทรงคล้องให้เสมอ ไม่มีคำพูดอะไรอีกแล้ว หญิงเข้าใจว่าคนไทยทุกคนคงเข้าใจในสิ่งที่เราพูด เพราะ ณ ตอนนั้นมันปลื้มปริ่ม มันพีคระดับ 10 แล้วน้ำตาจะไหล ขอบคุณทุกคนมาก ขอบคุณคนไทยทุกท่านที่ส่งกำลังใจ ขอบคุณเพื่อนๆ ที่มาเชียร์ ขอบพระทัยเสด็จพี่”

แม้จะทรงทุ่มเทพระองค์ในการฝึกซ้อมอย่างหนัก เพื่อทรงร่วมการแข่งขันกีฬาขี่ม้า แต่ในด้านแฟชั่น พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ก็ยังทรงออกแบบคอลเลคชั่นเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ภายใต้แบรนด์ “สิริวัณณวรี” (Sirivannavari) ซึ่งเป็นห้องเสื้อส่วนพระองค์อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทรงเผยโฉมคอลเลคชั่นทรงออกแบบ สปริง/ซัมเมอร์ 2017 ภายใต้แบรนด์ SIRIVANNAVARI และ S’HOMME ซึ่งเป็นเรื่องราวแห่งความรักของชาย-หญิงคู่หนึ่งจากการเดินทางในท้องทะเลอันไกลโพ้นราวเทพนิยาย ที่เปี่ยมด้วยความทรงจำ ความโรแมนติก และความโศกเศร้า ภายใต้ท้องนภาอันกว้างใหญ่ซึ่งโอบล้อมไปด้วยประกายแห่งแสงจันทร์ ดวงดาวที่พร่างพราย และเส้นขอบฟ้าที่ไม่รู้จบ อันเป็นบทพระนิพนธ์ในพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ที่โดดเด่นด้วยโครงสร้างเสื้อผ้าที่ดูเฟมีนีน งานปักชั้นครู ไปจนถึงลายกราฟิกฝีพระหัตถ์อันงดงาม เช่นเดียวกับเครื่องประดับทรงออกแบบในคอลเลคชั่นนี้ที่วิจิตรตระการตาไม่แพ้กัน

ด้วยพระอัจฉริยภาพ และพระจริยวัตรอันงดงาม พระจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 16 ในเยาวราชนิกุลที่ทรงได้รับความนิยมมากสุดในโลก 20 อันดับ โดยนิตยสารฟอบส์ และในปีพ.ศ.2556 เว็บไซต์ askmen ได้จัดอันดับพระองค์หญิงว่าเป็นเจ้าหญิงที่โดดเด่นที่สุด อันดับที่ 7 และทรงได้รับรางวัล “แฟชั่นไอคอน” จากนิตยสาร นูเมโร ไทยแลนด์ ในปีเดียวกัน

ในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ 8 มกราคม 2561 ขอถวายพระพรให้ทรงพระเกษมสำราญ มีพระชันษายิ่งยืนนาน ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย ทั้งในฐานะ “เจ้าหญิงดีไซเนอร์” และ “เจ้าหญิงนักกีฬา” ตลอดกาลนาน เทอญ