นักท่องเที่ยวที่มาโปแลนด์และต้องการมาเมือง Wroclaw ก็เพราะต้องการมาเยือนสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่สุดของเมืองนั่นคือ มหาวิทยาลัยแห่งเมือง Wroclaw มหาวิทยาลัยที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3 ศตวรรษแห่งนี้เป็นสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเพราะที่นี่ผลิตผู้ชนะรางวัลโนเบลในสาขาต่างๆ มากถึง 9 คน มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของภูมิภาคแห่งนี้มีนักศึกษาระดับปริญญาตรีมากถึง 26,000 คนและระดับปริญญาเอกมากถึง 1,400 คนทุกปีที่นี่จะผลิตบัณฑิตเข้าสู่ตลาดมากถึงปีละ 8 พันคน จาก 10 สาขาวิชา โดยมีการเรียนการสอนทั้งภาษาโปแลนด์และภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีความร่วมมือกับนานาชาติโดยเฉพาะกับมหาวิทยาลัยในภาคพื้นยุโรปอื่นๆเพื่อผลิตบัณฑิตและมหาบัณฑิต ยิ่งกว่านั้นมหาวิทยาลัยแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงทางด้านการวิจัยโดยมีการนำเสนอผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์ในวารสารต่างๆ ปีละหลายพันเรื่อง ในโครงการวิจัยกว่าปีละ 280 ชิ้น งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยสามารถนำสู่นวัตกรรมและการจดสิทธิบัตรมากมายในแต่ละปีอันเป็นผลมาจากความร่วมมือกับนักวิชาการนานาชาติกว่า 400 คน จากทุกมุมโลก
มหาวิทยาลัย Wroclaw ที่เดิมมีชื่อในภาษาเยอรมันว่า Universitat Breslau และภาษาละตินว่า Universitas Wratislaviensis นี้เมื่อแรกกำเนิดถูกจัดตั้งขึ้นจากมูลนิธิในวันที่ 20 กรกฎาคม 1505 โดยพระเจ้า Vladislausที่สองแห่งโบฮีเมีย แต่ความปรารถนาของพระองค์กลับไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะโป๊ปจูเลียสที่สอง ปฏิเสธไม่ให้ตั้งสถาบันการศึกษาขึ้นด้วยเหตุผลทางด้านการเมือง อีกทั้งยังถูกต่อต้านจากสถาบันการศึกษาในเมือง Krakow ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก การจัดตั้งอาคารสถานศึกษาขึ้นสำเร็จครั้งแรกหลังจากนั้นอีก 200 ปี ในวันที่ 1 ตุลาคมปี 1702 โดยบัญชาของพระเจ้า Leopold ที่หนึ่งแห่งออสเตรีย กษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮังการีโบฮีเมียและมีผู้บริหารคนแรกชื่อ Johannes Adrian von Plencken ส่วนภาควิชาที่ถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1638 ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น Jesuit School เนื่องจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของการปฏิรูป Silesia หลังจากดินแดนแห่งนี้ถูกเปลี่ยนมือเป็นของปรัสเซียที่นี่ก็กลายเป็นสถานศึกษาเกี่ยวกับศาสนาของอาณาจักรปรัสเซีย
หลังจากที่ปรัสเซียพ่ายแพ้ต่อนโปเลียนปรัสเซียจำเป็นต้องปรับสถานะของประเทศใหม่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ต้องเปลี่ยนชื่อใหม่แต่เมื่อเยอรมนีถูกปกครองโดยกองทัพนาซี มหาวิทยาลัยก็ต้องปรับตัวใหญ่อีกครั้งตามอิทธิพลของหลักการนาซี นักศึกษาที่พูดภาษาโปลจะถูกลงโทษโดยทหารนาซี และในปี 1939 นักศึกษาโปลก็ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพเยอรมันพ่ายแพ้ให้กับกองทัพรัสเซีย ทหารแดงรัสเซียก็เข้ายึดเมืองและขับไล่ชาวเยอรมันออกจากเมือง และยกให้ Wroclawเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐโปแลนด์ รัฐบาลรัสเซียปรับเขตแดนโปแลนด์ใหม่ ให้ Universityof Lwow และห้องสมุดมาอยู่ที่ Wroclaw รวมทั้งสั่งย้ายทั้งคนและข้าวของมาเป็นของมหาวิทยาลัย Wroclaw ด้วย ทั้งนี้เพราะ Lwow ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต นักการศึกษาชาวโปลชุดแรกที่เข้ามายังมหาวิทยาลัยในพฤษภาคม 1945 ได้เข้ามาปรับปรุงอาคารใหม่จากซากที่ถูกทำลายไปถึง 70% ในวันที่ 24 สิงหาคม 1945 รัฐบาลเมืองได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นใหม่โดยใช้ชื่อว่า University of Wroclaw ส่วนคณาจารย์ชุดแรกที่เข้ามาปรับปรุงอาคารมี Alois Alzheimer ที่นามสกุลของเขาถูกนำมาใช้เป็นชื่อโรครวมอยู่ด้วย
เนื่องจากอาคารของมหาวิทยาลัยมีความสวยงามแตกต่างจากมหาวิทยาลัยทั่วไป ทางมหาวิทยาลัยจึงเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม โดยนักท่องเที่ยวต้องซื้อตั๋วอย่างน้อย2 ส่วนเพื่อได้รับอนุญาตเข้าชมห้องของมหาวิทยาลัย 3-4 ห้อง ส่วนไฮไลท์ก็คือ Aula Leopoldina หรือโถงพิธีการที่ตกแต่งด้วยเทวดาและพู่ระย้าสไตล์บาโรคที่หรูหราวิจิตรตระการตา งานจิตรกรรมบนหลังคาเป็นภาพ God’s wisdom ภาพเหมือนที่ประดับผนังเป็นภาพผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย ส่วนระเบียงชั้นบนที่เรียกว่า MathematicalTower นั้นยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้มองเห็นวิวส่วนเมืองเก่าและแม่น้ำ Odra อีกต่างหากด้วย นักท่องเที่ยวที่ได้มีโอกาสเยือนมหาวิทยาลัยแห่งนี้รับรองได้ว่าจะตื่นตาตื่นใจกับความอลังการของอาคารจนรู้สึกอิจฉานักศึกษาของที่นี่ที่เสมือนหนึ่งเรียนอยู่ในวังเลยทีเดียว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี