ยุทธหัตถี-อนุสรณ์สถานแห่งชาติ
วันที่ ๑๘ มกราคม ที่ผ่านมาของทุกปีนั้น เป็นวันที่ระลึกถึงวันมหาสงครามที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำยุทธหัตถีชนะพระมหาอุปราชา จากเมืองหงสาวดี เมื่อวันแรม ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง เมื่อพุทธศักราช ๒๑๓๕ มีความสรุปว่า “สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเคลื่อนพยุหยาตราทางชลมารค ไปขึ้นบกที่ปากโมก บังเกิดศุภนิมิต ต่อจากนั้นทรงกรีธาทัพทางบกไปตั้งค่ายที่ตำบลหนองสาหร่าย เมื่อทรงทราบว่าพม่าส่งทหารมาลาดตระเวน ทรงแน่พระทัยว่าพม่าจะต้องโจมตีกรุงศรีอยุธยาเป็นแน่ จึงรับสั่งให้ทัพหน้าเข้าปะทะข้าศึกแล้ว ล่าถอยเพื่อลวงข้าศึกให้ประมาท แล้วสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระเอกาทศรถทรงนำทัพหลวงออกมาช่วย ช้างพระที่นั่งสองเชือกตกมันกลับเข้าไปในหมู่ข้าศึกแม่ทัพนายกองตามไม่ทัน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชตรัสท้าพระมหาอุปราชาทำยุทธหัตถีและทรงได้รับชัยชนะ โดยทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดคาคอช้าง”
ทรงบัญชาการทัพ
ด้วยเหตุกำลังไพร่หลวงหรือทหารนั้นได้สร้างนักรบทำการสู้รบพิทักษ์ ปกป้องรักษาแผ่นดิน และบ้านเมืองให้เกิดความสงบสุข และในประวัติศาสตร์ชาติไทยนั้น พระมหากษัตริย์ทรงเป็นนักรบเป็นจอมทัพ โดยมีเหล่าทหารกล้าออกไปสู้กับเหล่าข้าศึกศัตรูอย่างไม่กลัวเกรงและเสียสละชีวิตเพื่อแผ่นดิน แม้ว่าในปัจจุบันได้พัฒนากิจการเป็นกองทัพไทยได้แก่ กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ แล้วก็ยังทำหน้าที่เป็นกำลังสำคัญในการป้องกันประเทศจากการรุกรานของข้าศึกและทำสงครามสู้รบ ดังปรากฏในสมรภูมิสงครามหลายยุคหลายสมัย ซึ่งมีการสร้างอนุสรณ์สถานแห่งชาติให้ทุกคนได้ระลึกถึงการสงครามในอดีต และระลึกถึงวีรกษัตริย์มหาราชทุกพระองค์ จากวีรกรรมที่สุดแห่งพระมหากษัตริย์นักรบนั้น ได้นับถือวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงต่อสู้ตัวต่อตัวด้วยการกระทำยุทธหัตถีครั้งนั้น เป็นวันประวัติศาสตร์การรบในยุทธวิธีที่หาได้ยากยิ่งในสงครามและเป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ ด้วยเป็นมหาสงครามที่สืบเนื่องยาวนานในยุทธภูมิการกู้ของแผ่นดิน ด้วยการรบอยู่หลายครั้งและมีเหล่าทหารกล้าหลายนายอุทิศตนในสงครามหรือสมรภูมิรบเพื่อประเทศของตนเกิดขึ้นมากมาย จนถึงวาระการสู้รบที่ทำให้เห็นเป็นกฤษดาภินิหารในสงครามยุทธหัตถี จนเป็นวันสำคัญแห่งกองทัพไทยให้นำมาเป็นวันกองทัพไทย จากวันยุทธหัตถีกู้แผ่นดิน เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๑๓๕
ยุทธหัตถี-ขรัวอินโข่ง
สำหรับวันกองทัพไทยนั้นมีการเปลี่ยนแปลงมาตามลำดับกล่าวคือเมื่อพ.ศ.๒๕๐๒ รัฐบาลสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้กำหนดให้วันที่ ๘ เมษายน เป็นวันกองทัพไทย โดยถือเอาวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นวันที่มีการปรับปรุงการทหาร จากการจัดอัตรา กำลังแบบโบราณมาเป็นการจัดอัตรากำลังแบบปัจจุบัน ต่อมาพ.ศ.๒๕๒๓ รัฐบาลสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เห็นว่าวันกองทัพไทยควรเป็นวันที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่แสดงถึงความกล้าหาญและเสียสละและมีความหมาย สำหรับการทหารทั้งสามเหล่าทัพ จึงได้กำหนดเอาวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีได้รับชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชาเป็นวันกองทัพไทย ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๕ มกราคม ของทุกปี ต่อมาวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๙ พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์ อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข ได้มีหนังสือพร้อมข้อมูลของวันกองทัพไทยเสนอไปที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กราบเรียนนายกรัฐมนตรี ให้ทำการเปลี่ยนแปลงวันกองทัพไทย ด้วยเหตุที่ว่าได้ทำการศึกษาเรื่องนี้แล้วพบว่าวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชานั้นเดิมกำหนดไว้คือวันที่ ๒๕ มกราคม ที่ถูกต้องนั้นคือวันที่ ๑๘ มกราคม ทำให้ในวันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๙ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ให้เปลี่ยนแปลงกำหนดวันกองทัพไทยจากวันที่ ๒๕ มกราคม เป็นวันที่ ๑๘ มกราคม ของทุกปี โดยเริ่มใช้ครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๐ เป็นต้นไป และอนุมัติให้เป็นวันหยุดราชการของกระทรวงกลาโหม กิจกรรมที่กระทำในวันกองทัพไทยนั้นคือพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพล ซึ่งถือเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์สำหรับทหารทุกคนในกองทัพแห่งชาติทุกเหล่า ส่วนประชาชนผู้ระลึกถึงมหาวีรกรรมแห่งกษัตริย์นักรบนั้นจะพากันถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ที่มีอยู่ทั่วประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี