เส้นทางน้ำจากเขาพระนารายณ์
ด้วยเหตุที่เส้นทางเดินเรือทางทะเลโบราณนั้น มีความสำคัญมาก เพราะเป็นประตูที่นำวิชาการใหม่ๆเข้ามาถึงกัน อาทิตย์นี้ได้ตามรอยนักวิชาการคนสำคัญของไทย คือ ศ.ดร.นันทนา ชุติวงศ์, ศ.พิสิษฐ เจริญวงศ์, ดร.อมรา ศรีสุชาติ พร้อมกับนักโบราณคดีฝ่ายไทยไปร่วมเสวนาทางวิชาการกับนักโบราณคดีคนสำคัญจากประเทศต่างๆ ๒๑ ประเทศ เช่น Prof Dr.John Norman Miksic, Dr.Mohammad Arif, Dr.Sabyasachi Mukherjee, Prof Dr.Suchandra Ghosh, Prof Dr.Shahnaj Husne Jahan, Dr.Debdutta Ray, Dr.Le Thi Lien, Dr.Ligaya Lacsina, Prof Dr.Goh Geok Yian, Prof Hong Tianhua, เป็นต้น เพื่อเรียนรู้ข้อมูลใหม่และเดินทางตามหาแหล่งโบราณคดีที่อยู่ในเส้นทางการเดินเรือทางทะเลในสมัยโบราณทางใต้ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื่องจากประเทศไทยนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรมลายูมีแนวชายฝั่งทะเลยาวตั้งแต่ภาคตะวันออกลงไปจนถึงภาคใต้ ทำให้มีแนวชายฝั่งทะเลทั้งฝั่งตะวันออกคืออ่าวไทย และฝั่งตะวันตกคือทะเลอันดามันเชื่อมต่อกับมาเลเซีย ซึ่งในสมัยโบราณใช้เป็นเส้นทางเดินเรืออ้อมแหลมมลายู ดังนั้นตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทยจึงนับว่าเป็นศูนย์กลางและเป็นเมืองท่าในการค้าขายมายาวนานที่ปรากฏชื่อในจดหมายเหตุถึงท่าเรือสำคัญๆเช่น จินหลิน ตักโกลา พันพัน โดยเฉพาะภาคใต้ของไทยนั้นได้สำรวจ พบหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงถึงการติดต่อสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมจากประเทศอินเดียและประเทศจีน จนทำให้ไทยได้ติดต่อการค้าและรับเอาวัฒนธรรมจากทั้งสองประเทศที่เป็นแหล่งอารยธรรมโดยตรง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา เศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนศิลปกรรม จึงมีบทบาทและสัมพันธ์ต่อกันกับประเทศทั้งสองแล้ว ยังมีความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนด้วย
กลองมโหระทึกหลักฐานสำคัญ
ในการจัดเสวนาระหว่างประเทศนี้ กรมศิลปากรโดย นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากรได้เชื้อเชิญนักวิชาการจากประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางเดินเรือทะเลโบราณ และนักวิชาการของไทย ที่ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับการติดต่อค้าขาย แลกเปลี่ยนทางทะเลในภูมิภาคเอเชียนั้น มาร่วมบรรยาย เสวนาทางวิชาการ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ โดยเฉพาะข้อมูลใหม่ที่เกี่ยวข้องหรือแสดงถึงความเป็นเมืองท่า การติดต่อสัมพันธ์ การรับและแลกเปลี่ยนสินค้า กันมาแต่โบราณ รวมไปถึงการเชื่อมโยงกับเมืองต่างๆ ในแผ่นดินที่อยู่ลึกเข้าไป โดยสำนักบริหารกลาง และสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช ร่วมกันจัดให้อบรมสัมมนาในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ๒ วัน ในวันที่ ๗-๘ มีนาคม ๒๕๖๒ และเดินทางศึกษาดูงานในจังหวัดสุราษฎร์ธานี พังงา และกระบี่ ๒ วัน ในวันที่ ๙-๑๐ มีนาคม ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นเปิดโลกทัศน์ทางวิชาการโบราณคดี ในอาเซียนที่น่าสนใจยิ่ง โดยเฉพาะเส้นทางเดินเรือในทะเลจากอันดามันที่แหล่งโบราณคดีบ้านพงตึกและเขาพะเหนอ สู่ฝั่งทะเลอ่าวไทยด้านแหลมโพธิ์ และแหล่งโบราณคดีที่ไชยา นั้นพบว่ามีแหล่งโบราณคดีหลายแห่งที่เกิดขึ้นในสมัยโบราณ เช่น โบราณสถานบนเขาพระนารายณ์ โบราณสถานที่วัดพระธาตุไชยา วัดแก้ว วัดหลง ถ้ำคูหา แหล่งโบราณคดีอ่าวบ้านดอน แหลมโพธิ์ และแหล่งโบราณคดีลูกปัดที่คลองท่อม ท่าเรือและตลาดเก่าตะกั่วป่า เป็นต้น ซึ่งเกี่ยวโยงไปถึงแหล่งเรือจมในทะเลไทย แหล่งเรือโบราณที่สมุทรสาคร ไปจนถึงแหล่งโบราณคดีที่พบในบังกลาเทศ อินเดีย ศรีลังกา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ จีน และลาว ซึ่งต่างมีการศึกษาวิจัยและขุดค้นทางโบราณคดี พร้อมกับพบวัตถุสำคัญ ทำให้เชื่อมเนื้อหาทางวิชาการที่ต้องมีการศึกษาและสัมพันธ์กันทางวิชาการต่อไปด้วยซึ่งจะทำให้เกิดการส่งเสริม สนับสนุนให้มีการศึกษาค้นคว้า วิจัยทางวิชาการใหม่ๆ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือและต่อยอดทางวิชาการ ร่วมกับประเทศต่างๆ ต่อไปในอนาคต โดยโบราณวัตถุทางโบราณคดีจะมีการเก็บรักษาไว้ในพื้นที่ เหมือนกับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่ไชยา พบกลองมโหระทึกเกาะสมุยที่มีภาพเรือโบราณอยู่ เป็นต้น ถือเป็นการเผยแพร่องค์ความรู้ที่เกี่ยวเนื่องกับการติดต่อแลกเปลี่ยน ค้าขาย และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียและดินแดนที่ไกลออกไปร่วมกันเป็นครั้งแรก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี