เจ้าของสุนัขหลายคนมักหลงลืมการดูแลปัญหาภายในช่องปากของน้องหมาเพราะอาจไม่รู้ว่าเมื่อสุนัขเริ่มแก่ก็มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับช่องปาก เช่น เหงือกอักเสบ ฟันโยก โรคปริทนต์ กรามหักเพราะกระดูกติดเชื้อจากโรคปริทนต์ ฝีที่รากฟัน ปัญหาเหล่านี้ป้องกันได้ หากสุนัขได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างดีตั้งแต่เล็กจนโตเต็มวัย และดูแลต่อเนื่องตลอดชีวิต
Q การดูแลสุขภาพช่องปากในสุนัขประกอบด้วยอะไรบ้าง
A 1.พาสุนัขไปตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
2.ได้รับการขูดหินปูนอย่างเหมาะสม
3.การดูแลสุขภาพช่องปากสุนัขด้วยตนเองที่บ้าน
Q ต้องพาสุนัขไปตรวจร่างกายเมื่ออายุเท่าไร
A โปรแกรมการตรวจร่างกายของลูกสุนัขโดยคร่าว ๆ ประกอบด้วย
1.ตรวจร่างกายเมื่ออายุ 8 และ 12 สัปดาห์
เมื่อลูกสุนัขมีอายุ 8 สัปดาห์ ควรมีฟันน้ำนมขึ้นครบทั้งหมด และอยู่ในแนวการสบฟันที่เหมาะสม หากฟันน้ำนมขึ้นผิดที่แล้วทำให้การสบฟันผิดปกติไป อาจทำให้เกิดการเจริญของขากรรไกรล่างและ/หรือขากรรกไรบนผิดปกติ จึงควรถอนฟันน้ำนมที่ขึ้นผิดตำแหน่งออก ในการถอนฟันต้องวางยาสลบสุนัข ดังนั้นจึงต้องตรวจเลือด จึงต้องนัดหมายหมอล่วงหน้า เพื่อจะสามารถเตรียมตัวสุนัขก่อนการวางยาสลบ
2.การตรวจร่างกายเมื่ออายุ 4 เดือน
เมื่อลูกสุนัขมีอายุได้ 4 เดือน จะเป็นช่วงที่มีการผลัดเปลี่ยนฟัน หากพบว่าฟันแท้ขึ้นแล้วโดยที่ฟันน้ำนมที่ตำแหน่งเดียวกันไม่ยอมหลุด ถือว่าเกิดความผิดปกติที่เรียกว่าฟันน้ำนมค้าง ควรถอนฟันน้ำนมค้างออกเนื่องจากหากปล่อยไว้ ฟันน้ำนมที่ค้างอาจทำให้ฟันแท้ขึ้นผิดตำแหน่ง ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาได้ เช่น การสบฟันผิดปกติ การเจริญอย่างไม่สัมพันธ์กันของขากรรไกรบนและล่าง ฟันแท้ที่ขึ้นผิดตำแหน่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายของเนื้อเยื่ออ่อนข้างเคียงได้แก่เหงือก เพดานปาก ริมฝีปากแล้วแต่ตำแหน่งของฟัน โดยตำแหน่งของฟันที่พบฟันน้ำนมค้างได้บ่อยคือ ฟันตัดและฟันเขี้ยว ความผิดปกตินี้พบได้บ่อยในสุนัขพันธุ์เล็ก เช่น Chi Hua Hua Pomeranian และเชื่อว่าเป็นความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
3.การตรวจร่างกายเมื่ออายุ 6 เดือน
เมื่อลูกสุนัขอายุ 6 เดือน ควรมีฟันแท้ขึ้นครบ หรือเกือบครบ หากพบฟันน้ำนมค้างควรถอนฟันน้ำนมที่ค้างออก ในสุนัขหน้าสั้น เช่น Bull dog Boxer Pug และสุนัขพันธุ์เล็ก เช่น Chi Hua Hua Pomeranian มักพบการแออัด และการบิดของฟัน ซึ่งหากปล่อยไว้จะทำให้เกิดปัญหาโรคปริทนต์ตามมา จึงควรทำการถอนฟันที่แออัดออกบางซี่
4.พาสุนัขไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี
Q สุนัขควรได้รับการขูดหินปูนหรือไม่
A เมื่อพบว่าสุนัขมีหินปูน ควรพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อให้สัตวแพทย์ช่วยประเมินว่าควรได้รับการขูดหินปูนแล้วหรือยัง หากสุนัขมีหินปูนมาก ควรได้รับการวางยาสลบและทำการขูดหินปูนเนื่องจากหากปล่อยไว้หินปูนจะเป็นแหล่งที่อยู่ของเชื้อโรคทำให้เกิดปัญหาเหงือกอักเสบ, โรคปริทนต์, กระดูกหักจากการติดเชื้อจากโรคปริทนต์ตามมาได้ และเมื่อเกิดขึ้นแล้ววิธีเดียวที่จะกำจัดหินปูนออกได้คือ การขูดหินปูน
การขูดหินปูนในสุนัขจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางยาสลบสุนัขเพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งต่อตัวสุนัขเอง และผู้ปฏิบัติงาน การวางแต่ยาซึมแล้วทำการขูดหินปูนอาจทำให้สุนัขเครียด หวาดกลัว ดิ้นรน จนทำให้ได้รับบาดเจ็บได้
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(สัปดาห์หน้าอ่านต่อตอน 2)
หมายเหตุ โครงการสัตวแพทย์ จุฬาฯ ติดปีกบายนกแอร์ และหนังสือพิมพ์แนวหน้า ยังคงตระเวนออกทำหมันและฉีดวัคซีนป้องกันโรคกลัวน้ำ และตรวจสุขภาพให้กับสุนัขและแมวจรจัดทั่วประเทศ หากชุมชนใดต้องการให้โครงการของเราไปทำหมันและตรวจสุขภาพในน้องหมาและแมวในชุมชนของคุณ โปรดติดต่อที่ e-mail address : luangpee@hotmail.com
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี