การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 34 ระหว่างวันที่ 22-23 มิถุนายนนี้ ประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียน เป็นเจ้าภาพ จะแสดงให้โลกได้เห็นบทบาทและจุดยืนของอาเซียนต่อสถานการณ์ที่ท้าทายในภูมิภาคและโลกได้อย่างไร ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายและน่าติดตามอย่างยิ่ง
ในระหว่างวันที่ 22-23 มิถุนายนนี้ ประเทศไทยจะถูกโลกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงที่ประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียน จัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34อย่างไม่เป็นทางการ ที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะมีผู้นำประเทศอีก 9 ชาติสมาชิกเข้าร่วมการประชุม ได้แก่ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เมียนมา ลาว และเวียดนาม ซึ่งยืนยันจะเดินทางเข้าร่วมการประชุมแล้ว
การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมสุดยอดของผู้นำอาเซียนเป็นครั้งแรก ภายใต้แนวคิด “ร่วมมือร่วมใจก้าวไกลยั่งยืน” ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่น่าจะเข้ากับสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันที่กำลังเผชิญความท้าทายอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าจีน-สหรัฐ และสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลี ประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียน จึงมีบทบาทสำคัญ และจะมีข้อเสนออันจะนำไปสู่แถลงการณ์ที่ทำให้ชาวโลกได้รับรู้ว่าอาเซียนมีจุดยืนต่อความท้าทายเหล่านี้อย่างไร
แม้การประชุมสุดยอดครั้งนี้จะเป็นการประชุมอย่างไม่เป็นทางการและเป็นการประชุมครั้งแรก แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายในปัจจุบัน ประเทศไทยจึงน่าจะใช้โอกาสนี้ในการแสดงบทบาทในเวทีระดับนานาชาติ เพื่อแสดงให้เห็นจุดยืนและความชัดเจนของอาเซียน โดยเฉพาะการผลักดันแนวคิด “ร่วมมือร่วมใจก้าวไกลยั่งยืน” ในฐานะประธานอาเซียนให้เป็นรูปธรรมได้อย่างไร
จุดที่น่าสนใจก็คือ อาเซียนกำลังเผชิญกับการช่วงชิงการเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคของจีนและสหรัฐ ท่ามกลางความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ และดูเหมือนจะมีแรงกดดันให้มีการเลือกข้าง เห็นได้จากการที่นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ มีกำหนดจะเดินทางเยือนกรุงเทพฯในระหว่างวันที่ 29 ก.ค.-3 ส.ค. เพื่อเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน และการประชุมลุ่มน้ำโขงตอนล่างที่ประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียน เป็นเจ้าภาพ
มีการมองกันว่าการเดินทางเยือนประเทศไทยของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐครั้งนี้ มีเป้าหมายที่จะสกัดกั้นอิทธิพลของจีนในภูมิภาค หลังจากที่จีนเข้ามามีบทบาทสำคัญภายใต้โครงการ One Belt one Road หรือที่เรียกว่า “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” สหรัฐมองว่าจีนพยายามเข้ามาควบคุมภูมิภาคนี้ทีละน้อย แม้สหรัฐจะออกตัวว่าไม่ได้กดดันให้ประเทศในภูมิภาคนี้เลือกข้าง แต่ก็กำลังประสานความร่วมมือกับออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐในการผลักดันความพยายามของสหรัฐในการเข้ามามีอิทธิพลในลุ่มน้ำโขง
มีรายงานว่า การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐที่กรุงเทพฯ ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม สหรัฐจะมุ่งเน้นถึงความสำเร็จในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รวมถึงการยึดมั่นต่อความพยายามที่จะร่วมมือกันเพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือประชาชนในลุ่มน้ำโขง
ทั้งนี้ข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่างเริ่มขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยนางฮิลลารีคลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้นเพื่อใช้เป็นช่องทางในการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม ซึ่งหลายประเทศมีความใกล้ชิดกับจีน
อีกประเด็นที่น่าจับตามองก็คือ การที่กลุ่มฮิวแมนไรท์ วอทช์ เรียกร้องให้ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน หยิบยกเรื่องเมียนมาปฏิบัติไม่ดีต่อชาวโรฮีนจาขึ้นมาหารือ ซึ่งเป็นประเด็นที่เปราะบางและอ่อนไหวต่อจุดยืนของอาเซียนที่จะไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิก ซึ่งอาจจะกลายมาเป็นความขัดแย้งภายในอาเซียน
ส่วนประเด็นเศรษฐกิจ นอกจากผลกระทบจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐแล้ว ท่าทีของอาเซียนต่อการเจรจาข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาคหรือ RCEP (อาร์เซป) ก็อยู่ในความสนใจว่า จะมีการผลักดันให้สามารถบรรลุผลได้ภายในปีนี้หรือไม่ ท่ามกลางการแข่งขันและการกีดกันทางการค้าจากการดำเนินนโยบายของสหรัฐ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ถอนตัวจากการเข้าร่วมในข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก หรือ TPP
ขณะเดียวกัน อีกประเด็นที่น่าจับตามองก็คือ อาเซียนจะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นในปีนี้หรือไม่ หลังจากที่ติมอร์เลสเต ได้ใช้ความพยายามในการเข้าเป็นสมาชิกมาแล้ว 8 ปี แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ทั้งหมดนี้ คือประเด็นที่ไทยในฐานะประธานอาเซียน จะสามารถผลักดันให้เดินหน้าเป็นรูปธรรมหรือไม่จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
@koopnot01
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี