“รอลูกเลิกเรียน” (After school) รายการทีวีออนไลน์ จัดทำโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และบริษัท Toolmorrow ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำสื่อออนไลน์เพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคม โดยรายการดังกล่าวได้นำปัญหาจริงของครอบครัวไทยมานำเสนอแบบกึ่งเรียลิตี้ มีการตั้งกล้องเก็บภาพของครอบครัวจริงในการแก้ปัญหาระหว่างแม่และลูก โดยการดูแลอย่างใกล้ชิดจากคุณหมอด้านจิตวิทยา สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กระทรวงสาธารณสุข เผยสังคมไทยในปัจจุบันพ่อแม่ต้องเจอกับปัญหาลูกติดมือถือ และลูกวัยรุ่นมีปัญหาเรื่องความก้าวร้าวเพิ่มมากขึ้น ทั้ง 2 เรื่องจะมีวิธีการแก้ไขหรือรับมือกันอย่างไรบ้าง ลองมาฟังคำแนะนำจากคุณหมอนักจิตวิทยาเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน
แพทย์หญิงวิมลรัตน์ วันเพ็ญรองผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า จากผลการศึกษาโครงการวิจัยครอบครัวไทยในเขตเมือง ปี 2557 พบว่า 1 ใน 3ของครอบครัวในเมืองมีสัมพันธภาพน่าเป็นห่วงเนื่องจากขาดการปฏิสัมพันธ์ 60% ของครอบครัวมีการใช้อำนาจบังคับ ข่มขู่ 40% ของครอบครัวไม่ค่อยเล่าหรือไม่เล่าอะไรให้คนในครอบครัวฟัง34% ของครอบครัวมีการทำร้ายร่างกาย 33% ของครอบครัวไม่ค่อยใช้เหตุผลในการแก้ปัญหาและด่าทอ หยาบคาย ทำร้ายจิตใจ 11% ของครอบครัวไม่อยากวางเป้าหมายครอบครัวและไม่อยากทำกิจกรรมร่วมกัน และ 5% ของครอบครัวไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันเลย
“จากการรับหน้าที่เป็นวิทยากรให้รายการรอลูกเลิกเรียน เป็นที่ปรึกษาให้กับโรงเรียนต่างๆ รวมทั้งจากสายด่วนสุขภาพจิต 1323 พบว่าเรื่องที่พ่อแม่จะกังวลเกี่ยวกับลูกมากที่สุดคือ เรื่องติดมือถือ ติดเกม และในส่วนของลูกนั้นปัญหาที่พบมาก คือ เรื่องความเครียด เรื่องเรียนการปรับตัว ความรัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ในแต่ละครอบครัวจะมองไม่เหมือนกัน ถ้าเรามองว่าเป็นปัญหาที่ควรจะต้องแก้ไข หรือมองว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วค่อยๆ แก้กันไป มันก็จะแก้กันได้ ซึ่งเป็นเรื่องของการปรับตัว พ่อแม่ลูกต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน นี่คือคำแนะนำแบบง่ายๆ ที่อยากให้ทุกครอบครัวปฏิบัติเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาเรื่องช่องว่างในครอบครัว
สิ่งหนึ่งที่อยากแนะนำก็คือ พ่อแม่ควรจะปรับตัวเองก่อน เพราะลูกมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย เขายังสามารถได้ใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น พ่อแม่หรือผู้ปกครองก็ไม่จำเป็นต้องพาลูกไปพบจิตแพทย์เสมอไป เพราะเรื่องบางเรื่อง อาจไม่ได้เป็นปัญหารุนแรงถึงขั้นจะต้องเดินทางไปพบแพทย์ เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับตัวเข้าหากันภายในครอบครัว”
นอกจากนี้ ในสังคมปัจจุบันเรามักจะพบกับปัญหาวัยรุ่นมีความก้าวร้าวเกิดขึ้นบ่อยครั้งตามที่ปรากฏเป็นข่าวลงในโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ต่างๆ แพทย์หญิงวิมลรัตน์ เผยถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ได้แก่ นิสัยส่วนตัวของเด็ก เช่น มีอารมณ์ร้อน ไม่ฟังใคร รวมถึงประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมา และการเรียนรู้ในการแก้ไขปัญหา
“หากในครอบครัวของเด็กใช้วิธีแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรง เด็กจะเรียนรู้ได้อย่างไรว่าเวลาทะเลาะกับเพื่อน จะต้องใช้วิธีการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการพูดคุยกันดีๆ ครอบครัวต้องสอนให้เขาควบคุมความโกรธ แก้ไขปัญหาชีวิตด้วยวิธีการที่เหมาะสม และรับฟังเวลาเขามีปัญหา ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสอนให้เขาได้เข้าใจบุคคลอื่นครอบครัวควรชื่นชมเขาหากเขาทำความดี แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่มีแต่คำดุด่า ว่าทำไมไม่ตั้งใจเรียน ทำไมเรียนไม่เก่ง ทำไมพูดไม่เพราะ เป็นต้น รวมถึงสื่อมวลชนต่างๆ ที่ควรนำเสนอข่าวในด้านบวกด้วย เช่น ทำไมไม่เคยมีออกข่าวมาว่าเด็กทะเลาะตีกันแล้วหันไปหาทางออกด้วยการพูดจาทำความเข้าใจกันบ้าง เนื่องจากในปัจจุบันนี้สื่อต่างๆ ก็มีผลต่อวัยรุ่นด้วยเช่นกัน เมื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเต็มไปด้วยเรื่องราวแบบนี้ เขาไม่เคยเรียนรู้การแก้ปัญหาด้วยวิธีดีๆ ที่ถูกต้อง แล้วจะให้เขาเอาแบบอย่างที่ดีมาจากไหน”
อย่างไรก็ตาม ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ อาจเป็นเพราะวัยรุ่นไทยขาดโอกาสในการฝึกฝนตนเองตั้งแต่เด็กว่าจะเอื้ออาทรกับคนอื่นหรือสังคมได้อย่างไร ในเมื่อเขาก็ไม่เคยได้รับ ดังนั้น การแก้ไขเรื่องความก้าวร้าวของวัยรุ่น ต้องแก้ไขในหลายจุด อาทิ การมีลูกเมื่อพร้อม การให้ความรู้พ่อแม่ในเรื่องการเลี้ยงดูลูกอย่างมีคุณภาพ โรงเรียนมีระบบในการดูแลเด็กที่ดี พ่อแม่ต้องมีการปรับตัวไปกับยุคดิจิทัล
“ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม พื้นฐานของความไว้ใจกันในครอบครัว ความรัก ความผูกพัน การที่รู้ว่าเมื่อไรที่เรามีปัญหา ครอบครัวยังคงเป็นเบื้องหลังที่สำคัญ ถึงแม้ว่าปัจจุบันสื่อออนไลน์ต่างๆ จะช่วยให้หาข้อมูลวิธีการแก้ไขได้บ้าง แต่ปัญหาบางอย่างที่เป็นเรื่องร้ายแรงก็ยังไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้ โดยเฉพาะในเรื่องความรู้สึกหรือความกังวล ซึ่งเขาก็ยังคงต้องการหรือพึ่งพาคนที่รู้สึกไว้ใจได้ซึ่งก็คือคนในครอบครัวนั่นเอง ดังนั้นการแก้ไขที่สำคัญคือเราต้องแก้ปัญหาภายในครอบครัว หรือลูกของเราก่อน การแก้ปัญหาในหนึ่งจุด จุดอื่นมันก็จะเปลี่ยน ในวงจรชีวิตคนเราถ้าไม่มีใครแก้ไขอะไรเลย สังคมมันก็เป็นแบบเดิมๆ เขาเพียงแค่เราเป็นกรวดชิ้นเล็กๆ วงล้ออันนี้เมื่อเจอกรวดมันก็จะเบี้ยวไปนิดหนึ่งแล้ว ดังนั้นถ้าเราปรับในครอบครัวที่เป็นส่วนที่เราจัดการได้ ต่างคนต่างจัดการของตัวเอง ทุกอย่างมันก็สามารถจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้”
รายการ “รอลูกเลิกเรียน” (After school) รายการทีวีออนไลน์ ปัจจุบันออกอากาศมาถึงตอนที่ 9 : ลูกใช้เงินฟุ่มเฟือย เมื่อลูกวัยรุ่นเห็นเพื่อนโพสต์ของที่ซื้อมาใหม่ ก็ต้องการไปซื้อของตามเพื่อน และขอให้พ่อแม่พาไปห้างสรรพสินค้าทุกอาทิตย์ พ่อแม่รู้สึกว่าลูกมีความอยากได้ของต่างๆ มากขึ้น ทำให้มีความกังวลขึ้นมาว่าถ้าไม่มีเงินให้ลูกในอนาคต ลูกอาจจะคิดหาเงินในทางที่ผิด จนทำให้ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวเริ่มตึงเครียด เกิดปัญหาด้านการสื่อสารภายในครอบครัว มาดูกันว่าจิตแพทย์จากสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ จะให้คำแนะนำและแก้ไขเรื่องนี้อย่างไรกันบ้าง และเมื่อชมรายการจบแล้วผู้ปกครองสามารถเข้าร่วมโครงการ กับ สสส. โดยการเข้าไปทำแบบทดสอบได้ที่ quiz.afterschoolonline.tv หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ Inbox ของFacebook : Toolmorrow ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี