ลอกสีทองให้เป็นหลวงพ่อดำตามเดิม
จากเหตุกิจกรรมทาสีทองลุกลามเข้าไปในวัดแบบผิดกาลเทศะและหลักการอนุรักษ์นั้น ทำให้เกิดกระแสการเฝ้าระวังจากสังคม แม้จะหยุดความเชื่อความศรัทธาได้ยาก ในภารกิจแรกที่ต้องแก้ไขก่อนนั้น คือต้องหยุดการทำลายชิ้นงานสำคัญในโบราณสถานของวัดเสียก่อน หน่วยงานศิลปากรในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศได้พากันตรวจสอบและเร่งแก้ไขให้โบราณสถานที่ถูกทาสีทองดังกล่าว อาทิตย์นี้ได้ติดตามนายอรุณศักดิ์กิ่งมณี รองอธิบดีกรมศิลปากร ถึงการแก้ไขโบราณสถานและโบราณวัตถุตามวัดสำคัญที่ถูกทาสีทอง ของสำนักงานศิลปากรในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีคุณอัจฉรา แข็งสาริกิจ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรีและคณะรับผิดชอบพื้นที่และเร่งการแก้ไขหลังจากที่มีวัดถูกทาสีทองเกิดขึ้นไปก่อนหน้านี้
เปิดลวดลายเดิมกลับคืน
ในเบื้องต้นนั้นได้การคัดเลือกวัดไว้ ๓ แห่ง คือ วัดโพธาราม วัดลาวทอง และวัดไชนาวาส อำเภอเมือง โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกโบราณสถานที่เก่าแก่ เป็นวัดที่สำคัญอันดับต้นๆ และมีประติมากรรมสวยงาม รวมถึงสภาพความเสียหายจากการทาสีทองที่จำเป็นเร่งด่วน การอนุรักษ์ได้ดำเนินการในประติมากรรมเฉพาะด้วยมีงบประมาณจำกัด คือ ใบเสมา ซุ้มประตู และหลวงพ่อดำ ก่อนที่จะเสียหายมากกว่านี้ ซึ่งต้องใช้งบประมาณในการแก้ปัญหารวมประมาณ ๙ แสนบาทหน่วยช่างอนุรักษ์ศิลปกรรมนั้นได้แก้ไขโดยทำการลอกสีและทำให้ลวดลายของเดิมที่สำคัญกลับคืนสภาพเดิม ในวัดโพธาราม วัดลาวทอง วัดไชนาวาสแต่ละวัดนั้นถูกทาสีทองที่ตัวโบสถ์ เจดีย์ และกำแพงแก้วรวมทั้งโบราณวัตถุ พระพุทธรูปสำคัญ ในโบสถ์วิหารด้วยซึ่งพบการลอกของสีทองที่ทาทับหลุดออกมา โดยเฉพาะพระประธานที่ทำด้วยปูนในโบสถ์นั้นถูกสีทองปิดหรืออุดตันปูนทำให้เกิดตุ่มพองของเม็ดน้ำอยู่บนผิวทอง รอวันแตกออกเป็นรอย และความชื้นจากปูนก็จะทำลายเนื้อปูนตามไปด้วย
พระพุทธรูปที่ลอกสีทองออก
จากการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ของตัวอย่างสีทองที่ทาแต่ละวัดนั้นมีผลต่อการทำลายเนื้อในของโบราณวัตถุมากกว่าการอนุรักษ์และความมั่นคงของชิ้นงานวัสดุ ดังนั้นการเดินหน้าแก้ไขอันดับแรกจึงต้องให้ความรู้และสร้างความเข้าใจกับทุกฝ่ายทั้งวัด ชาวบ้านในชุมชน ที่จะต้องดูแลป้องกันไม่ให้พฤติกรรมทาสีทองจากเจ้าของผู้ผลิตสีหรือผู้มีความเชื่อไม่สร้างกิจกรรมโดยไม่ศึกษาเรียนรู้ก่อน
ทาสีทองหมด
การดำเนินโครงการอนุรักษ์ประติมากรรมเพื่อแก้ไขปัญหาโบราณสถานที่ถูกทาสีทองและความก้าวหน้าในการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานสำคัญในสุพรรณบุรีครั้งนี้จึงเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ต้องเร่งแก้ไขให้มีการดำเนินงานบูรณะโบราณสถานทั่วประเทศที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อโบราณสถานของวัดมากกว่า ๔๐ แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่นั้นเกิดจากความเชื่อมาสร้างกิจกรรมทาสีทองหาบุญโดยผิดหลักการอนุรักษ์ คือใช้สีสมัยใหม่ที่มีความคงทนสูงนั้นแต่ไม่มีคุณสมบัติระบายความชื้นได้ อีกทั้งยังเร่งให้เนื้อปูนเนื้อหินผนังผุกร่อนได้ง่าย บางแห่งพบว่ามีการฉาบปูนซีเมนต์ดำทับปูนเก่า ทำให้ระบายความชื้นไม่ได้เลย เพราะสีนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะยึดเกาะชิ้นงาน ส่งผลต่อปูนเก่าอิฐเก่าให้ผุกร่อนหลุดร่อนขึ้น เหมือนจะเป็นอาการของกรรมที่จะเกิดกับผู้ที่มุ่งทำร้ายศิลปกรรมพุทธศาสนา เป็นตราบาปที่ทำให้สูญสิ้นงบประมาณจำนวนมากและต้องใช้เวลาในการแก้ไขนานวัน ดังนั้นการถวายความรู้ต่อพระสังฆาธิการจึงเป็นแนวทางที่เชื่อว่าจะลดละเลิกการอนุญาตและร่วมกันป้องกันไม่ให้มีการทำลายโบราณสถานต่อไปอีก ซึ่งภูมิปัญญาโบราณนั้นใช้การลงรักปิดทองตามชิ้นงานสำคัญ
แม้จะมีบางวัดไม่ให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์ก็ตาม เรื่องนี้ได้มีการแจ้งดำเนินคดีกับวัดต่างๆ ที่ดื้อรั้นให้ทาสีทองจนทำให้ศิลปกรรมและโบราณสถานเสียหาย ขณะนี้มีวัดทาสีทองที่ถูกสีทองทาจำนวนมากที่คนทั้งประเทศต้องช่วยกันสอดส่องและเฝ้าระวังดูแล และน่าจะเป็นปฐมเหตุหนึ่งในการพิจารณาสนับสนุนวัดพัฒนาของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต่อไปด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี