การอนุรักษ์จิตรกรรม
อุทยานประวัติศาสตร์หลายแห่งในประเทศไทยเป็นแหล่งเรียนรู้ให้เข้าใจถึงประวัติศาสตร์ชาติจากสิ่งที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน และคงไม่ได้อยู่แค่เที่ยวชมเท่านั้น ด้วยโบราณสถานหลายแห่งต้องใช้วิชาการด้านอนุรักษ์ สืบสาน ต่อยอดให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะการอนุรักษ์ ที่ผ่านวิธีการสำรวจ ขุดแต่งและบูรณะให้คงอยู่เพื่ออนาคต อาทิตย์ ได้ตามหาภูมิรู้เรื่องการอนุรักษ์ไปกับฝ่ายเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร ไปยังศูนย์อนุรักษ์นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ซึ่งตั้งอยู่ในสำนักงานอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
พระนครศรีอยุธยา หรือ กรุงศรีอยุธยา อดีตราชธานีของชาติไทยแห่งนี้มีอายุมากกว่า ๔๑๗ ปีซึ่งยุคสมัยหนึ่งนั้น กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์การอาณาจักรที่สร้างความเจริญก้าวหน้าทางด้านต่างๆ ที่สะท้อนให้รู้ได้ถึง การปกครอง กฎหมาย การศาล ระบบสังคมศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรมจิตรกรรม ประณีตศิลป์ ภาษาและวรรณกรรมนาฏดุริยางค์ศิลป์ เรียกว่ารวมศิลปะวิทยาการทุกแขนงที่คนไทยในอาณาจักรอยุธยานั้นได้สร้างสมไว้จนปรากฏหลักฐานทางโบราณสถาน โบราณวัตถุ ที่มีคุณค่าและยังเหลือสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน จากพระนครที่ถูกทิ้งร้างและบูรณะต่อกันมาตามยุคสมัยนั้น ในปีพ.ศ.๒๕๒๕ กรมศิลปากร ซึ่งมีหน้าที่รับชอบตามกฎหมายนั้นได้ดำเนินการอนุรักษ์โบราณสถานเมืองพระนครศรีอยุธยา ภายใต้ชื่อ “โครงการอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา” การอนุรักษ์และบริหารจัดการพื้นที่รกร้างนั้นในไม่ช้าอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จึงได้รับการยกย่องจาก องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ประกาศให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ.๒๕๓๔ ซึ่งมีผลทำให้อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรนั้นได้เป็นมรดกโลกตามมาอีกหลายแห่ง
กษัตริย์กับการอนุรักษ์
สำหรับอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาแห่งนี้นอกจากมีความปรากฏในเอกสารต่างประเทศแล้วยังมีโบราณสถานที่สำรวจพบแล้ว ทั้งภายในเมืองและนอกกำแพงเมืองจำนวนมากกว่า ๔๒๕ แห่ง โบราณสถานที่สำคัญนั้นน่าสนใจมาก เช่น พระราชวังโบราณหรือพระราชวังหลวง เป็นที่อยู่ของพระมหากษัตริย์และเป็นศูนย์กลางด้านการเมืองและการปกครองในเวลาเดียวกันพระเจ้าอู่ทอง ทรงโปรดให้สร้างพระราชวังขึ้นในบริเวณที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งวัดพระศรีสรรเพชญ์ปัจจุบันนั้นเหลือแต่เพียงฐานรากของพระที่นั่งองค์ต่างๆ เนื่องจากถูกเผาทำลายเมื่อครั้งเสียกรุงวัดพระศรีสรรเพชญ์ จึงเป็นวัดที่สำคัญที่สุดของกรุงศรีอยุธยา เดิมเป็นพระราชวังที่ประทับซึ่งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ หรือพระเจ้าอู่ทอง ทรงสร้างขึ้น ต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โปรดให้ย้ายพระราชวังไปสร้างใหม่ทางด้านริมแม่น้ำลพบุรี และอุทิศพระราชวังให้เป็นวัดสำหรับประกอบพระราชพิธีสำคัญ และเป็นที่เสด็จออกบำเพ็ญพระราชกุศล วัดราชบูรณะ เป็นวัดที่สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ หรือเจ้าสามพระยาโปรดให้สถาปนาขึ้นในปี พ.ศ.๑๙๖๗ ในบริเวณที่ถวายพระเพลิงศพเจ้าอ้ายพระยา เจ้ายี่พระยา พระเชษฐาทั้งสองของพระองค์ ซึ่งสิ้นพระชนม์ลงเนื่องจากการรบแย่งชิงราชสมบัติ วิหารพระมงคลบพิตร ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทยคือ พระมงคลบพิตร สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๙ ซึ่ง จอมพล ป.พิบูลสงครามได้บูรณะวิหาร พระมงคลบพิตรใหม่ทั้งหมดดังที่ปรากฏในปัจจุบัน
คณะผู้ร่วมงานเปิดศูนย์
นอกจากนี้ ในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยานั้นยังมีโบราณสถานที่สำคัญในแห่งอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องคอยอนุรักษ์บูรณะและเฝ้าระวังให้สภาพที่เหลืออยู่นั้นมีความมั่นคงให้นานที่สุด เช่น วัดมหาธาตุ วัดพระราม วัดไชยวัฒนาราม วัดใหญ่ชัยมงคลวัดพนัญเชิง วัดธรรมิกราชวัดสุวรรณดาราราม วัดขุนแสนวัดเสนาสนาราม เป็นต้น ดังนั้นการมีส่วนร่วมจากประชาชนเพื่อการอนุรักษ์และความเข้าใจในบทบาทการทำงานด้านอนุรักษ์นั้น จึงจำเป็นต้องมีศูนย์อนุรักษ์ฯสะท้อนให้เรียนรู้ถึงการทำงานด้านต่างๆ เช่น ด้านปูนปั้น ด้านจิตรกรรม ด้านการขุดสำรวจ ขุดแต่งโบราณสถานแต่ละแห่งในเอกสารจดหมายเหตุ ซึ่งคาดหวังว่าต่อไปศูนย์แห่งนี้จะมีเอกสารรายงานและข้อมูลการอนุรักษ์ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ให้มากกว่าการดูภาพ-ดูหุ่นเท่านั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี