เทรนด์รักสุขภาพกำลังมาแรงใครๆ ก็ต่างหันมาสนใจและให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย หรือจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน ก็ต้องดูแลเพื่อให้เกิดความสมดุล หลายๆ คนจึงพยายามสรรหาสิ่งดีๆ ให้แก่ร่างกาย
ข้อมูลจาก อาจารย์ศัลยาคงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพ (สหรัฐอเมริกา) และกรรมการบริหาร มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ เปิดเผยว่า ในยุคปัจจุบันการเลือกรับประทานไขมันที่ดีเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพ หนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ ของไขมันที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรักสุขภาพก็คือ “น้ำมันปลา” เนื่องจากน้ำมันปลามี “กรดไขมันโอเมก้า 3” เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีความจำเป็นต่อร่างกายซึ่งจะได้รับจากอาหารเท่านั้น เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ หากคุณอยากรู้ว่าน้ำมันปลา ดีกับสุขภาพอย่างไร เรามาค้นหาข้อมูลประโยชน์ของน้ำมันปลากัน
รู้จักน้ำมันปลา
น้ำมันปลา (Fish Oil) คือน้ำมันที่สกัดจากส่วนของเนื้อ หนัง หัว และหางของปลาทะเลน้ำลึกโดยเฉพาะปลาในเขตหนาว เช่น ปลาแซลมอนปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ปลาเทราต์ และปลาแมคเคอเรล ในน้ำมันปลามีกรดไขมันหลายชนิด แต่ที่สำคัญและมีการนำมาใช้ทางการแพทย์ คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่จำเป็นต่อร่างกาย ที่ชื่อว่าโอเมก้า 3 จากปลา ประกอบไปด้วยกรดไขมันสำคัญ 2 ชนิด คือ อีพีเอ (EPA หรือ Eicosapentaenoic Acid) และดีเอชเอ (DHA หรือ Docosahexaenoic Acid) ซึ่งกรดไขมันทั้ง 2 ตัวนี้ เป็นส่วนประกอบสำคัญที่จำเป็นต่อการพัฒนาระบบสายตาและสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กทารก นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจลดไขมันในเลือด ช่วยป้องกันมะเร็งลดการอักเสบในร่างกาย รวมทั้งโรคไขข้ออักเสบ ฯลฯ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงหันมาสนใจและให้ความสำคัญในการรับประทานปลามากยิ่งขึ้น
น้ำมันปลากับน้ำมันตับปลาเหมือนกันหรือไม่
น้ำมันทั้ง 2 ชนิด แม้จะมาจากปลาเช่นเดียวกัน แต่องค์ประกอบต่างกัน โดยทั้งสองชนิดต่างเป็นแหล่งที่ดีของ EPA และ DHA แต่น้ำมันตับปลาเป็นน้ำมันที่สกัดได้จากตับของปลาคอด แต่จะมีปริมาณวิตามินเอและวิตามินดีสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินเอ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ขาดและต้องเสริมวิตามินดังกล่าว วิตามินดีช่วยการดูดซึมแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูก วิตามินเอ มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวหนังและดวงตาไม่ให้ถูกทำลายจากมลพิษ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ น้ำมันตับปลาที่ผลิตจากปลาชนิดอื่นอาจไม่มีกรดโอเมก้า 3 และวิตามินดีจึงควรพิจารณาถึงแหล่งที่มาของน้ำมันตับปลาและปริมาณของวิตามินเอ ซึ่งหากได้รับมากเกินไปอาจเป็นพิษต่อตับ กระดูก และทารกในครรภ์ได้
ประโยชน์ของน้ำมันปลาต่อสุขภาพ
จากผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ได้จากน้ำมันปลามีผลกับสุขภาพในหลายๆ ด้านหากรับประทานในปริมาณที่เพียงพอ อาทิ
ระบบหลอดเลือดหัวใจความดันโลหิตและสมอง โดยมีส่วนช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือดและลดไขมันในเลือด จึงช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจและสมอง รวมทั้งมีส่วนช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกายดีขึ้น จึงมีผลให้ความดันลดลง โดยที่น้ำมันปลาจะไม่มีผลต่อความดันในผู้ที่มีความดันโลหิตปกติแต่อย่างใด กรด EPA ยังช่วยลดการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ
ลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ มักใช้ในปริมาณสูง 3,000-3,500 มิลลิกรัม ซึ่งจะช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้ 20-50%ที่สำคัญ คือ ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย สามารถใช้ร่วมกับยาในการลดระดับไขมันในผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงได้
ลดอาการอักเสบของโรคข้อกรดไขมันโอเมก้า 3 ในน้ำมันปลาจะช่วยลดอาการของโรคข้อเสื่อมปวดข้อ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เนื่องจาก EPA สามารถลดสารที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบ ปวด บวมข้อ นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มการสร้างสารที่มีคุณสมบัติทำให้อาการอักเสบต่างๆ ของข้อลดลงได้
เสริมการทำงานของเซลล์สมองป้องกันสมองเสื่อม การรับประทานน้ำมันปลาอาจช่วยลดความเสี่ยงสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ในระยะต้นได้เพราะ DHA ช่วยเพิ่มสารที่ช่วยลดการสร้างเส้นใยในสมองอันเป็นตัวการทำลายใยประสาทส่วนความจำ
นอกจากนี้น้ำมันปลายังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นช่วยลดอาการซึมเศร้าและโรคสมาธิสั้นในเด็ก ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ต้องฉายแสง เคมีบำบัด ภูมิคุ้มกันบำบัดจะต้องใช้ปริมาณที่สูงขึ้นช่วยให้การรักษาเคมีบำบัดดีขึ้นและลดผลข้างเคียงทางเคมีบำบัด ลดการอักเสบของโรคสะเก็ดเงินหรือโรคเรื้อนกวาง อีกทั้งยังช่วยเสริมสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์อีกด้วย
เห็นคุณประโยชน์ของน้ำมันปลากันแล้ว ก็อย่าลืมบริโภคปลาทะเลให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ถ้าจะให้ดีก็ควรหลีกเลี่ยงการทอดน้ำมันท่วม ซึ่งทำให้สูญเสียปริมาณน้ำมันปลาในอาหารธรรมชาติ แต่ถ้าใครไม่สะดวกหรือมีข้อจำกัดในการรับประทานปลาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างน้ำมันปลาก็อาจเป็นอีกทางเลือกที่จะมาช่วยในการดูแลสุขภาพได้
ข้อมูลการวิจัยล่าสุดเปิดเผยว่า ยังไม่มีปริมาณสูงสุดในการบริโภคโอเมก้า 3 อย่างไรก็ตาม National Institute of Health และองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาแนะนำว่าไม่ควรรับประทาน DHA และ EPA เกินวันละ 3 กรัม หลายองค์กรแนะนำให้รับประทานน้ำมันปลาที่มีส่วนประกอบของ EPA และ DHA รวมกันปริมาณ 250-500 มิลลิกรัม และไม่ควรรับประทานน้ำมันปลาในปริมาณมากเกินไปโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้ง่ายและทำให้เลือดหยุดไหลช้าลงได้ ดังนั้น ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการมีเลือดออก เช่น ผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัด ผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหารผู้ที่ดื่มสุรามากๆ หรือผู้ที่รับประทานยาจำพวกแอสไพริน วาร์ฟารีน หรือยาชนิดอื่นที่มีคุณสมบัติลดการแข็งตัวของเลือด อาจจะต้องรับประทานน้ำมันปลาอย่างระมัดระวังและควรปรึกษาแพทย์ก่อน
รู้อย่างนี้แล้ว ก็ต้องรู้จักเลือกใช้ให้ถูกหลักร่วมกับการเลือกอาหารที่มีน้ำมันปลาและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี