“ความรัก” เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า โดยเฉพาะเด็กๆ การได้รับการเลี้ยงดูการแสดงออกถึงความรัก ความปรารถนาดี และความเอาใจใส่จากพ่อแม่คือสิ่งสำคัญที่สุดในการวางรากฐานในการพัฒนาการเด็กในทุกๆด้าน โดยเฉพาะเรื่องจิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม ความคิดสร้างสรรค์ ทัศนคติ ความเป็นตัวของตัวเอง ตลอดทุกช่วงวัย
ข้อมูลจาก รศ.พญ.ทิพวรรณ หรรษคุณาชัย กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการเด็ก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า บางครั้งการมอบความรักจนเกินพอดีหรือด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องก็อาจเป็นการทำร้ายลูกโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะเขาอาจไม่เข้าใจคุณค่าของความรักและกลายเป็นเด็กไม่น่ารักสำหรับใครๆ พ่อแม่จึงควรรักให้เป็นและแสดงออกอย่างเหมาะสม ลองตรวจสอบกันดูหน่อยไหม ว่าคุณเป็นพ่อแม่ประเภทไหน เข้าข่ายทำร้ายลูกหรือไม่
1.รักและปกป้องมากเกินไปการให้ความรัก ปกป้องประคบประหงมลูกมากเกินไปเหมือนไข่ในหิน ไม่กล้าปล่อยให้ลูกได้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะเกรงว่าลูกจะลำบาก กลัวลูกทำผิด กลัวลูกเจ็บ กลัวไปซะทุกเรื่อง หรือเมื่อมีปัญหาใดๆ ก็มักจะยื่นมือไปช่วยเหลือในทันที จะทำให้ลูกไม่มีโอกาสในการตัดสินใจด้วยตนเองไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าทำอะไรใหม่ๆ ขาดความมั่นใจจนกลายเป็นเด็กขี้กลัว เพราะไม่เคยตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองเลย เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะมีลักษณะเหมือนเด็กคือเลี้ยงเท่าไรก็ไม่รู้จักโต ขาดภาวะผู้นำ
2.ตามใจทุกอย่าง พ่อแม่รักลูกมากมักจะตามใจลูกทุกอย่าง โดยเฉพาะทางวัตถุ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีราคาแพง หรือหามาด้วยความยากลำบากแค่ไหน ถ้าเพื่อลูกพ่อแม่ยอมได้ทุกอย่าง ทำให้ลูกไม่เคยรู้สึกผิดหวังเพราะได้รับทุกอย่างที่ตนเองต้องการมาตลอด ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจในสิ่งที่ยังไม่ควรจะได้ในเวลานั้น ไม่รู้จักความอดทนรอคอยในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ส่งผลถึงให้ลูกเจริญเติบโตมาแบบการแพ้ไม่เป็น ผิดหวังไม่ได้ และมีปัญหาในการปรับตัวที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น หากเมื่อลูกเติบโตแม้ได้รับความผิดหวังหรือแพ้ในภาวะปกติของการดำเนินชีวิต จะทำให้ลูกรู้สึกโศกเศร้าเสียใจอย่างรุนแรง เพราะไม่เคยถูกฝึกเรื่องการแพ้หรือผิดหวังในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาตั้งแต่วัยเด็ก ลูกอาจแสดออกด้วยพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การทำร้ายตนเองหรือทำร้ายผู้อื่น เป็นต้น
3.เข้าข้างลูกตลอด ไม่ว่าลูกจะมีปัญหาอะไรกับใคร พ่อแม่ก็มักออกโรงปกป้องอย่างเต็มที่โดยไม่ฟังเหตุผลว่าลูกผิดหรือไม่ผิด พร้อมกับคิดอยู่เสมอว่า“ลูกฉันไม่ผิด” แม้ว่าลูกทำผิดมาก็มักเลือกที่จะโทษคนอื่นมากกว่า จนลูกจะกลายเป็นเด็กแพ้ไม่ได้ ผิดไม่เป็น พฤติกรรมก้าวร้าว หลงตัวเอง และรู้สึกว่าตนเองดีกว่าคนอื่นเสมอ เป็นคนชอบดูถูกคนอื่น ไม่ยอมรับว่าเป็นคนสร้างปัญหา เป็นนักเลง เมื่อเวลาทำผิดพลาดก็ไม่คิดว่าตัวเองผิดแต่กลับไปโทษคนอื่น
4.ทดแทนสิ่งที่ขาดหาย พ่อแม่บางคนต้องการทดแทนบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปในช่วงวัยเด็กของตัวเองซึ่งอาจจะเกิดจากครอบครัวที่มีฐานะไม่ดีอดมื้อกินมื้อ ไม่มีของเล่นเหมือนเด็กคนอื่น มีปมด้อย หรือลำบากมาก่อน เมื่อตัวเองประสบความสำเร็จก็พยายามชดเชยให้กับลูกตลอด โดยให้ลูกกินอาหารดีๆ ที่มากเกินไป จนลูกเป็นโรคอ้วนหรือซื้อของเล่นทุกอย่างที่พ่อแม่อยากได้ตอนเด็กๆ มาให้ลูกจนลูกมีของเล่นที่มากเกินจำเป็น พ่อแม่บางคนก็เอาความฝันของตัวเองที่ทำไม่สำเร็จ หรืออยากทำแต่ไม่มีโอกาสได้ทำไปยัดเยียดไว้ที่ลูก โดยลืมไปว่าลูกก็มีชีวิต มีความฝันของเขาเอง ตกลง พ่อแม่รักลูกหรือรักตัวเองกันแน่?
5.รักแบบลำเอียง เมื่อพ่อแม่มีลูกหลายคนและแสดงออกด้วยการรักลูกไม่เท่ากัน เช่น รักลูกชายมากกว่าลูกสาว รักลูกที่เรียนเก่งมากกว่า ไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่ลูกคนกลาง เป็นต้น เมื่อพ่อแม่มีความรักที่ลำเอียงจะส่งผลร้ายต่อลูกที่ไม่ได้รับความรักเท่าเทียมกับพี่น้องคนอื่นๆ จนอาจกลายเป็นเด็กที่มีนิสัยเก็บกด ขี้น้อยใจ เจ้าคิดเจ้าแค้น และไม่มีความรักความเมตตาต่อพี่น้องคนอื่น เมื่อโตขึ้นเขากลายเป็นคนขี้อิจฉา ขี้หึง หวาดระแวง ทิฐิสูง มีนิสัยชอบแข่งขันเอาชนะชิงดีชิงเด่นกับคนอื่น จนทำให้ตัวเองและคนรอบๆ ข้างขาดความสุข พี่น้องไม่รักและสามัคคีกัน
6.ไม่เคารพการตัดสินใจของลูก โดยพยายามขีดเส้นให้ลูกเดิน พ่อแม่ที่มักจะคอยกำกับลูกอยู่เสมอ โดยไม่ยืดหยุ่นหรือผ่อนปรน ไม่เปิดใจรับมุมมองที่แตกต่างของลูก ไม่ให้โอกาสในการลองผิดลองถูกไม่เปิดโอกาสให้ลูกใด้กล้าคิดหรือทำในสิ่งที่ใฝ่ฝันของตนเอง ไม่ให้โอกาสลูกตัดสินใจเองแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ว่าลูกจะดูหนัง ฟังเพลงคบเพื่อน หรือทำอะไรก็ตาม พ่อแม่ก็เลือกให้ทุกอย่างโดยเชื่อว่าสิ่งที่พ่อแม่เลือกให้คือสิ่งดีที่สุดสำหรับลูกแล้ว จะทำให้ลูกไม่เป็นตัวของตัวเอง มีความอึดอัดและมีปมด้อย รู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรดีซึ่งจะบั่นทอนความเชื่อมั่นและความพยายามในการทำให้พ่อแม่พึงพอใจ สุดท้ายจะนำไปสู่การโกหกและหลีกหนี
7.ไม่แสดงออกเรื่องของความรักที่พ่อแม่มีให้ลูกรับรู้พ่อแม่บางคนไม่เคยพูดบอกคำว่า “รักลูก” และ “ภาคภูมิใจ” ในตัวลูกเลย ไม่เคยโอบกอดหรือแสดงออกว่าเชื่อมั่นในตัวลูก เพราะกลัวว่าลูกจะเหลิง อยากให้ลูกเป็นคนที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด ลูกจะรับรู้ว่าเขาไม่เป็นที่รักของใครเลยแม้แต่พ่อแม่ ทำให้ลูกขาดโอกาสที่จะมีความรู้สึกถึงความมั่นคงทางอารมณ์และรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า ไม่มีแรงบันดาลใจที่จะทำความดีไปเพื่อใคร เพราะทำไปก็ไม่มีใครชื่นชม โตขึ้นลูกจะแสดงความรักต่อผู้อื่นไม่เป็น
แม้การแสดงออกถึงความรักในการเลี้ยงดูและอบรมลูกรักจะเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กมีพัฒนาการสมวัยและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นคงทางจิตใจอารมณ์ แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่พ่อแม่ให้ความรักมากเกินพอดีจนเขาสำลักความรัก ลูกก็จะอ่อนแอในการใช้ชีวิต ดังนั้น พ่อแม่ควรรักลูกอย่างพอเหมาะ ไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไป ก็จะทำให้เขามีสุขภาพกายและใจที่ดี เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพของสังคมต่อไป
โดย ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี