1.เมื่อเดือนที่ผ่านมา มีการประเมินการทำงานของ “ศาลไซเบอร์” แห่งเมืองหางโจว ใน “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน” ออกมาว่า นับตั้งแต่เดือน มีนาคม-ตุลาคม ที่ผ่านมา (2019) ศาลแห่งนี้ได้ช่วยรับเรื่อง พิจารณา และไต่สวน ในคดีความไซเบอร์ทั่วประเทศไปแล้วกว่า3.1 ล้านคดี โดยอาศัยเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มีในโทรศัพท์มือถือ (Smart Phone) เช่น WeChat (สังคมออนไลน์ยอดนิยมในประเทศจีน) ซึ่งเป็นช่องทางให้โจทก์และจำเลยสามารถยื่นเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดี รวมไปถึงการรับฟังการไต่สวน-พิจารณาคดีผ่านช่องทางนี้ได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปยังศาลด้วยตัวเอง
ที่สำคัญ ในการรายงานผลการประเมินยังบอกว่า เทคโนโลยี “บล็อกเชน”ของ “ศาลไซเบอร์” ยังช่วยอำนวยความสะดวกในกระบวนการรับคำร้องรวมถึงการยื่นเอกสารและหลักฐานประกอบการไต่สวนคดีได้อย่างราบรื่นทำให้ขั้นตอนต่างๆ ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังบันทึกข้อมูลการพิจารณาคดีของ “ผู้พิพากษาปัญญาประดิษฐ์” ที่มีต่อโจทก์และจำเลยในคดีความอย่างละเอียด สามารถตรวจสอบข้อมูลภายหลังได้ ซึ่งในรายงานฉบับนี้ใช้คำว่า เป็นการยกระดับกระบวนการยุติธรรมและความโปร่งใสที่สอดรับกับโลกยุคใหม่อย่างแท้จริง
2.“ศาลไซเบอร์” แห่งเมืองหางโจว ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2017 ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระงานของบุคลากรที่เป็นมนุษย์ในกระบวนการยุติธรรม และสาเหตุที่ตั้งศาลที่เมืองแห่งนี้ ก็เพราะหางโจวเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Technology) ที่ขึ้นชื่อเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศจีน นี่เองที่ทำให้ “ธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์” (E-Commerce) ขยายตัวอย่างรวดเร็วแบบคู่ขนาน จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คดีความไซเบอร์เพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยคดีที่ถูกยื่นต่อศาลไซเบอร์ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับคดีละเมิดลิขสิทธิ์ในสื่อออนไลน์ และข้อพิพาททางการค้าในธุรกิจออนไลน์ รวมไปถึงความขัดแย้งกันในเรื่องสินค้าที่วางจำหน่ายผ่านสื่อออนไลน์ทั่วประเทศ
โดยใครที่ต้องการยื่นฟ้องในคดีที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล ก็สามารถลงทะเบียนต่อ “ศาลไซเบอร์”ผ่านทางแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือได้ง่ายๆ จากนั้นผู้ลงทะเบียนจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนการยื่นฟ้อง-ดำเนินคดี
รวมถึงการส่งหลักฐานและเอกสารประกอบ แล้วก็จะมีการส่งข้อความนัดหมายผู้เกี่ยวข้องในคดีมาให้ปากคำ โดยใช้เทคโนโลยีสื่อสารผ่านวีดีโอคอล (Video Call) ต่อมา “ผู้พิพากษาปัญญาประดิษฐ์” (AI) จะทำการไต่สวนและพิพากษาคดีตามข้อมูลที่ได้รับ โดยที่ยังมี“ผู้พิพากษาที่เป็นมนุษย์” คอยให้คำปรึกษาและตรวจสอบกระบวนการตัดสินอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้มั่นใจว่า ผู้ยื่นเรื่องทั้งสองฝ่ายจะได้รับความเป็นธรรม และโดยส่วนใหญ่ “ผู้พิพากษาปัญญาประดิษฐ์” จะสามารถพิจารณาและปิดคดีได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ที่สำคัญยังสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง และ 7 วันต่อสัปดาห์อีกด้วย นี่คือความน่าทึ่งของกระบวนการ “ศาลไซเบอร์” ที่ปัจจุบัน รัฐบาลกลางของจีนได้ขยายขอบเขตการดำเนินงานไปยังเมืองและเขตปกครองอื่นๆ ในอีก 12 มณฑลทั่วประเทศเรียบร้อยแล้ว
3.แน่นอนว่า ในเรื่องของการอำนวยความสะดวกน่าจะเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ สำหรับผู้ที่หันมาใช้กระบวนการยุติธรรมในระบบของ “ศาลไซเบอร์” แต่ในเรื่อง “ความเที่ยงตรง” ของ“ผู้พิพากษาปัญญาประดิษฐ์” นั้นเชื่อว่าหลายคนน่าจะมีคำถามตามมา ถ้าการตัดสินใจในคดีความนั้นๆ มันไม่ได้อยู่แค่บนกติกาทางธุรกิจ
ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปีที่ผ่านมา (2018) ก็เริ่มมีการใช้ Artificial Intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกระบวนการยุติธรรมเช่นกัน แต่ที่น่าสนใจก็คือ ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯยกระดับของปัญญาประดิษฐ์ในการช่วยกรองผู้กระทำความผิดว่า ควรต้องปฏิบัติต่อพวกเขาในรูปแบบไหน (ปล่อยตัวหรือคุมขัง) พิจารณาอย่างไร (อัตราค่าประกันตัว) และควรกำหนดการพิจารณานานกี่วันนี่คือการพิพากษาเบื้องต้นด้วยข้อมูลอย่างแท้จริง โดยหนึ่งในระบบปัญญาประดิษฐ์รูปแบบนี้ มีชื่อเรียกว่า “ระบบประมวลผลความปลอดภัยของสาธารณะ” (Public Safety Assessment) ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในการประเมินการให้ประกันตัวของผู้กระทำความผิด
เนื่องจากผู้ต้องหาจะต้องปรากฏตัวต่อหน้าผู้พิพากษาทันทีหลังจากถูกจับกุมตัวดังนั้น เป็นหน้าที่ของผู้พิพากษาต้องกำหนดวันไต่สวนคดีให้กับผู้ต้องหา ต้องเลือกที่จะควบคุมตัวหรือควรปล่อย และถ้าปล่อยจะต้องมีค่าประกันตัว
เป็นจำนวนเงินมากน้อยเท่าไหร่ (ตามความเสี่ยง) การตัดสินใจตรงนี้เองที่จำเป็นต้องใช้ “ความเที่ยงตรง” ที่เป็นธรรมให้มากที่สุด และ “มูลนิธิลอร่าเเละจอห์น อาร์โนลด์” (Laura and John Arnold Foundation) เห็นว่า การป้อนข้อมูลให้ปัญญาประดิษฐ์วิเคราะห์คือคำตอบที่สมบูรณ์ที่สุดพวกเขาจึงออกแบบ “ระบบประมวลผลความปลอดภัยของสาธารณะ”นี้ขึ้นมา ด้วยความเชื่อที่ว่า การตัดสินผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลของคดีความต่างๆ และปัจจัยเสี่ยง อาทิ อายุ ประวัติการก่ออาชญากรรมในอดีต (แต่ไม่รวมเอาข้อมูลเกี่ยวกับ สีผิว เพศ ประวัติการทำงาน ที่อยู่อาศัย หรือประวัติการถูกจับกุม มาประกอบ) โดยปราศจากความคิดเห็น และความรู้สึกส่วนตัว เท่ากับการให้ความเป็นธรรมที่เที่ยงตรง
4.กระนั้นก็มีความกังวลว่า ข้อมูลที่ได้รับการประมวลโดยระบบปัญญาประดิษฐ์นี้ อาจจะเข้าไปแทนที่การตัดสินใจของผู้พิพากษาในด้านการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับตัวผู้ต้องหา เเละในการพิพากษากำหนดบทลงโทษ ซึ่งจะทำให้กระบวนการยุติธรรมที่ต้องใช้มนุษย์ จะเสียระบบการคิดวิเคราะห์ไป เมื่อทุกศาลฯหันไปใช้ระบบคอมพิวเตอร์หรือปัญญาประดิษฐ์ทำงานแทนทั้งหมด ซึ่งทาง “มูลนิธิลอร่าเเละจอห์น อาร์โนลด์” ก็ยืนยันว่า ระบบปัญญาประดิษฐ์ของพวกเขายังพัฒนาไปไม่ถึงจุดนั้น และเห็นว่าควรปล่อยให้ระบบยุติธรรมแบบปกติ คือผู้พิพากษาที่เป็นมนุษย์ยังคงเป็นคนกำหนดบทลงโทษเหมือนที่เคยเป็นมา น่าจะเป็นมาตรฐานที่ดีกว่าการพิจารณาตามการวิเคราะห์ข้อมูลเท่านั้น
ถึงตรงนี้ ก็น่าจะได้คำตอบสำหรับความยุติธรรมที่ต้องการกันแล้วว่า นอกจาก “การอำนวยความสะดวก” และ “ความเที่ยงตรง” ที่ปัญญาประดิษฐ์ได้รับการพัฒนาศักยภาพจนสามารถทำแทนเราได้อย่างสมบูรณ์แล้วนั้น มันยังไม่พอ และท้ายที่สุด เราก็ยังคงต้องตั้งหน้าตั้งตารอกันอีกต่อไป ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นอะไรและอยู่ในรูปแบบไหนก็ตาม นี่แหละคือความงดงามของระบบยุติธรรมอันซับซ้อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี