ในขณะที่สังคมกำลังให้ความสนใจเรื่อง “กัญชา” จนเกือบจะลืม “ยาสูบ” นั้น แต่ด้วยเหตุที่ยาสูบ มีบทบาทในวิถีไทยมาช้านานและเป็นพืชที่ทำรายได้เข้าประเทศมากมาย จึงขออาสาตามรอยหาภูมิปัญญา ยาสูบกับปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คำว่า กัญชา ยาสูบ นั้นเรียกว่ารู้จักกันมานาน แม้จะบอกไม่ได้ว่าเกิดขึ้นในไทยเมื่อไรแต่ก็พอจับเค้าได้ว่ากล้องยาสูบที่พบในสมัยสุโขทัยนั้นทำให้เชื่อว่าคนไทยมีวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการสูบยามากว่า ๗๐๐ ปีแล้ว แต่จะเป็นสูบใบยาสูบหรือสูบอะไรนั้นต้องสืบค้นกันต่อเพราะการเพาะปลูกยาสูบนั้นเริ่มต้นที่หมู่เกาะไฮติ เมื่อ พ.ศ.๒๐๗๔ แล้วจึงแพร่เข้ามาปลูกในอาเซียน ที่ฟิลิปปินส์ เป็นประเทศแรกที่ปลูกยาสูบก่อน แล้วจึงเผยแพร่เข้ามาปลูกในไทย
จากหลักฐานที่สืบค้นได้ ปรากฏว่าวัฒนธรรมการสูบยามีมานานกว่า ๓๐๐ ปี คือในบันทึกของหมอสอนศาสนาที่เดินทางเข้าในกรุงศรีอยุธยา แผ่นดินพระนารายณ์ได้บันทึกไว้ว่า เมื่อเข้ามาในเมืองไทยครั้งนั้นพบว่าคนไทยสูบยากันทั่วไป โดยชาวเปอร์เซียเป็นผู้นำเข้ามาเป็นการสูบยาในลักษณะหั่นใบยา ที่มวนด้วยใบตองหรือใบบัว และมีการสูบจากกล้องหรือเคี้ยวเส้นยาสูบ และบางทีก็ป่นเป็นผงสูดเข้าจมูกแบบยานัตถุ์ ลักษณะของยาสูบมี ๓ ลักษณะ คือ การเอายาเส้นมามวนด้วยกระดาษหรือเรียกกันว่า “บุหรี่” แต่ถ้านำเอายาเส้นมาใส่ลงไปในปลายกล้องยาแล้วสูบผ่านกล้องจะเรียกว่า “ไปป์” (Pipe) และถ้านำเอายาสูบมาพันกันไปมาจนเป็นมวนโตแล้วสูบเรียกว่า “ซิการ์” (Cigar)
เรื่องนี้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้บันทึกว่า “มองสิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ เอกอัครราชทูตชาวฝรั่งเศสได้เขียนเล่าเรื่องประเทศสยามว่าคนไทยชอบใช้ยาสูบอย่างฉุนทั้งผู้ชายและผู้หญิง ใบยาที่ใช้นั้นได้มาจากเกาะมะนิลาบ้าง เมืองจีนบ้างและปลูกในพื้นเมืองบ้าง ลักษณะของยาสูบหรือมวนบุหรี่ในสมัยนั้นจะมีก้นแหลม มวนด้วยใบตองหรือใบจากตากแห้ง ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์เจ้าสิงหนาทดุรงฤทธิ์ ก็ได้ทรงประดิษฐ์ก้นป้านขึ้นมาเพื่อสูบควันและอมยากับหมากพร้อมกัน ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีผู้ดัดแปลงบุหรี่ก้นป้าน โดยตัดยาเส้นให้พอดีกับวัสดุที่ใช้มวนคือ ใบตองแห้ง ใบตองอ่อนและใบบัว และได้รับความนิยมอย่างมาก คนไทยแต่เดิมเรียกยาสูบเป็นคำกลางๆ ว่า “ยา” และใช้ คำว่ายาไปประกอบกับคำอื่นๆ ที่บอกลักษณะของยาสูบแต่ละประเภท เช่น ยาเส้น ยาฉุน ยาจืด ยามวน เป็นต้น”
ส่วนกิจกรรมยาสูบนั้นรัฐบาลไทยเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๒ ได้มีนโยบายที่จะให้รัฐดำเนินการอุตสาหกรรมยาสูบเสียเองหมด โดยซื้อโรงงานยาสูบไทยของห้างหุ้นส่วน บูรพายาสูบ จำกัด ที่สะพานเหลือง ถนนพระราม ๔ มาดำเนินงานภายใต้การควบคุมของกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ตั้งแต่ วันที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๒ โดยมีชื่อว่า โรงงานยาสูบไทยสะพานเหลือง ต่อมาเป็นโรงงานยาสูบสรรพสามิต ๒ ถือเอาวันนี้เป็นวันสถาปนาโรงงานยาสูบเป็นต้นมา โดยมีการพัฒนาการกิจการยาสูบที่ทำให้เกิดรายได้เป็นหลักมาจนวันนี้ คือวันที่กิจการยาสูบต้องถอยหลังด้วยเหตุปัจจัยการรณรงค์ต่างๆ จนมีผลทำให้การปลูกยาสูบตามโควตาถูกตัดลดลงจนเป็นปัญหาเกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะเรื่องนี้ นายสงกรานต์ ภักดีจิตร นายกสมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เลย์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้เรียกร้องและยกประเด็นการช่วยเหลือเรื่องการปลูกใบยาสูบสายพันธุ์เบอร์เลย์ ที่ปลูกกันมากในภาคกลางของประเทศ ได้แก่ สุโขทัย, เพชรบูรณ์ และบางจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งสามารถปลูกได้ในดินหินปูนอาศัยปุ๋ยเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและมีผู้ปลูกใบยาสูบพันธุ์เบอร์เลย์มากกว่า ๕,๐๐๐ ครัวเรือน คิดเป็นเนื้อที่ ๓๒,๐๐๐ ไร่ กระจายอยู่ในพื้นที่อ.หล่มสัก เมือง หนองไผ่ ชนแดน และ วังโป่ง สามารถผลิตใบยาแห้งได้ประมาณ ๑๓ ล้านกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าส่งออกประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งถือเป็นอาชีพที่สร้างรายได้อย่างดีมากว่า ๘๐ ปีนั้นกลับถูกจำกัดโควตาลง ปัจจุบันขีดความสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เฉลี่ย ๓๐๐ กิโลกรัมต่อไร่ หากปลูก ๑๐ ไร่ ในหนึ่งรอบการปลูกจะมีกำไรประมาณ ๑๑๐,๐๐๐ บาท ถือเป็นพืชราคาดีเมื่อเทียบกับการปลูกข้าวจึงเป็นเรื่องน่าคิดว่าทั้งยาสูบกับกัญชานั้นมีฤทธิ์ทางยาไม่แตกต่างกัน หากจะมีการวิจัยให้ยาสูบสร้างประโยชน์อื่นเพื่อรักษารายได้หลักไว้แล้ว ด้วยประสบการณ์การปลูกยาสูบที่มีมากว่า ๘๐ ปีนั้น น่าจะดีกว่าการปลูกกัญชาหรือจะส่งเสริมต่อยอดปลูกกัญชาก็ได้ตามโควตา ดีกว่าจะยุบเลิกลดสิ่งที่เคยทำและสร้างรายได้แผ่นดินมาอย่างน่าเสียดาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี