เมื่อตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้กล่าวถึงแรงกระตุ้นจากประเทศเพื่อนบ้านที่ประกาศมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราหรือวีซ่า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลให้ผู้บริหารกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประสงค์จะทำตาม ในขณะที่ไทยมีปัญหาค่าเงินบาทแข็งมากมา 5 ปี ซึ่งไม่สอดรับกัน อีกทั้งจีนเองก็ประสบปัญหากับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ค่าของเงินหยวนตกต่ำ ไม่เอื้อต่อการไปท่องเที่ยวในต่างประเทศในจำนวนมากๆ เหมือนเก่า วันนี้เป็นตอนที่สองและตอนจบ
ในสายตาของประเทศจำนวนมาก
จีนถูกมองว่าเป็นมหาอำนาจที่มีระบอบการปกครองแบบเผด็จการบนพื้นฐานของลัทธิมาร์กซิสม์-เลนินนิสม์ นิยมใช้มาตรการไม้แข็งในกิจการภายในและต่างประเทศ รวมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของสื่อ อีกทั้งมีประชากรจำนวนมหาศาล มีประสบการณ์ในการเข้าร่วมหรือสนับสนุนในศึกสงคราม แม้นว่าจะพัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจการตลาดและทุนนิยมอย่างมากมาจนถึงปัจจุบัน นานาประเทศโดยเฉพาะประเทศชาติตะวันตกก็ยังมีความคลางแคลงใจอยู่
แม้ว่าประเทศไทยและจีนมีความใกล้ชิดในด้านต่างๆ แต่เราต้องระลึกถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ไทยและจีนมีระบอบการปกครองแตกต่างกัน ภัยคุกคามทางอุดมการณ์ยังมีจริง จีนมีอำนาจต่อรองเหนือไทยและประเทศเล็กๆ อื่นๆ มากขึ้นทุกวันในทุกๆ ด้านโดยเฉพาะด้านการเมือง การทหารและเศรษฐกิจ หากมีข้อสงสัย ขอแนะนำให้มองรอบๆ ตัวเรา อนึ่ง จีนมีประชากรจำนวนมาก การเข้าออกเสรีกับประเทศที่มีจำนวนประชากรมหึมาเช่นนี้ หากปราศจากการกลั่นกรองหรือควบคุม ก็เปรียบเสมือนการเปิดทำนบกั้นน้ำให้ท่วมประเทศ มิใช่เรื่องเล่นๆ ที่จะพิจารณาในระดับรัฐบาลเท่านั้นด้วยซ้ำไป
********
หากเรากลับเข้ามาที่เรื่องหลักของวันนี้ คือ การยกเว้นวีซ่าให้แก่จีนก็ดี และอินเดียก็ดี เพื่อส่งเสริม การท่องเที่ยว ในอันที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจของชาติเพราะเงินสกุลบาทแข็ง ดังที่นายพิพัฒน์ รัชกิจประการเจ้ากระทรวงการท่องเที่ยวฯ กล่าวไว้ว่า สองประเทศนี้มีกำลังซื้อด้านการท่องเที่ยวสูง “หากมาตรการฟรีวีซ่าแก่ชาวจีนและอินเดียผ่าน มองว่าจะเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์เงินบาทแข็งได้ เพราะอย่างน้อยก็ช่วยดึงดีมานด์นักท่องเที่ยวให้เข้ามาจับจ่ายที่ไทยได้ในภาวะบาทแข็งแบบนี้” นั้น
การตั้งสมมุติฐานนี้น่าจะอยู่บนความเลื่อนลอย หลงประเด็น และไม่ศึกษาสภาวการณ์ของโลกให้ถ่องแท้ เนื่องจากเหตุผลดังนี้
ประการแรก เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันอยู่ในสภาวะชะงักงันชะลอตัว ทุกประเทศประสบปัญหานี้เหมือนกัน
ประการที่สอง สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ส่งผลต่อการผลิตการค้าของจีน บรรยากาศอึมครึม กระทบต่อการประกอบอาชีพ และส่งผลโดยอ้อมต่อเศรษฐกิจของประเทศที่ค้าขายใกล้ชิดกับจีน เช่น ไทย และเวียดนาม (โชคดีหน่อยที่เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2563 สหรัฐฯ และจีนลงนามข้อตกลงเศรษฐกิจการค้าระยะแรกซึ่งนับเป็นนิมิตที่ดี ลดกระแสกดดันลงไปมาก)
ประการที่สาม เงินสกุลบาทของไทยแข็งเกินไปมา 5 ปีเข้าแล้ว หากประเทศไทยมีเงินบาทแข็ง จะมีประโยชน์สถานเดียวคือ การนำเข้าสินค้าประเภททุน หรือเครื่องจักรกลเพื่อการผลิตพัฒนาภายในประเทศ ซึ่งจะทำให้ได้เปรียบเวลาชำระเงิน แต่ถ้าคาดหวังว่า คนจะมาท่องเที่ยวในจำนวนมากๆ อันนี้คือ ฝันลมๆ แล้งๆ เป็น wishfulthinking เพราะหากค่าเงินบาทแข็งเกินไป นักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องใช้เงินสกุลของเขา (เช่น หยวน ซึ่งทุกวันนี้ก็อ่อนค่าอย่างมาก) ในจำนวนมากกว่าที่เคยแลกเพื่อจะใช้จ่ายเท่าเดิม ดังนั้น แม้นจะมีมาตรการยกเว้นวีซ่า เขาก็ไม่มาหรอกเพราะได้ไม่คุ้มเสีย เพราะทุกปัจจัยที่กล่าวถึงข้างต้นไม่ส่งเสริมเสียเลย
ประการที่สี่ ขณะนี้จีนเองก็มีอาการน่าเป็นห่วงว่าจะบำบัดแก้ไขปัญหาโรคไวรัสโคโรนา ซึ่งยังจำกัดบริเวณได้ที่เมืองอู่ฮั่น แต่หากกระจายไปยังมณฑลอื่น จะน่ากลัวเพียงไร ประเทศใดจะกล้าต้อนรับ รัฐบาลไทยก็ต้องใคร่ครวญให้ดีว่า เราจะเสี่ยงต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนจากภูมิภาคที่หมิ่นเหม่ต่อโรคระบาด เข้าประเทศไทย มันจะปลอดภัยหรือ จะเป็นภาระการรักษาพยาบาลแก่ประเทศไทย เสี่ยงต่อการระบาดยังคนหมู่มาก นอกจากนี้นักท่องเที่ยวประเทศอื่นๆ รวมทั้งไทย ก็คงจะไม่ไปท่องเที่ยวในจีนด้วยแน่ (จากข้อมูลที่ได้รับมาจากแหล่งข่าวทางการทูตคนไทยไปท่องเที่ยวในจีนเป็นจำนวนประมาณ 740,000 คนในปี 2560 และ 826,000 คน ในปี 2561 ซึ่งกรณีเดินทางไปจีน ยังต้องขอวีซ่าอยู่ ถึงหากจะตกลงหรือประกาศฝ่ายเดียวยกเว้นวีซ่าระหว่างกัน เรายังมีคนไปจีนจำนวนไม่คุ้มที่จะมีความตกลงเลย ซึ่งรัฐบาลที่มีปัญญาและวิสัยทัศน์หลักแหลม จะไม่คิดทำเรื่องเช่นนี้ให้เสียเวลา อีกทั้งคนไทยน่าจะอยากไปสหรัฐฯ แคนาดาหรือยุโรปมากกว่า)
ประการที่ห้า ไทยเองก็ต้องระมัดระวังตัวในปีนี้ เพราะจะเจอวิกฤติฝุ่นควันพิษ PM2.5 ในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวสำคัญๆ แก้ไม่หายจากปีกลายหนักขึ้นทุกวัน ปีนี้จะกระหน่ำซ้ำด้วยปัญหาภัยแล้ง ธรรมชาติแปรปรวน เพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง การขาดน้ำจะเป็นวิกฤติในชาติสำหรับการเกษตรกรรม การอุปโภค บริโภค อาจเสี่ยงไฟป่าแบบออสเตรเลีย จะโดยธรรมชาติหรือวางเพลิงแล้วเราจะไปต้อนรับใครมาท่องเที่ยวอย่างเป็นสุขได้อย่างไร
********
โดยสรุป การเสนอให้ยกเว้นวีซ่า หรือจะกลายรูปอีกครั้ง เป็นขอยกเว้นค่าวีซ่า VoA ที่ช่องทางอนุญาต นัยว่าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ในอันที่จะแก้ไขปัญหา
เงินบาทแข็ง นั้น เป็นการกระทำที่ขาดปัญญายั้งคิด ว่าค่าเงินบาทแข็ง ก็ต้องแก้ตรงนี้ให้ได้ก่อน ก่อนที่จะส่งเสริมให้คนเข้ามาท่องเที่ยว และการยกเว้นวีซ่านั้น อย่าทำเพราะเห็นคนอื่นทำก็จะทำตามเขา (เศรษฐกิจไทยยังดีกว่ามาเลเซียมากนักผู้นำของเขาทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างไม่น่าให้อภัย) เราควรแก้ไขปัญหาอย่างถูกวิธี เกาให้ถูกที่คัน มิใช่คันที่หนึ่ง แต่ไปเกาที่อื่น คนอื่นเขาจะสงสัยเข้าใจผิดกล่าวหาไปผิด ๆ ว่า ท่านผู้ผลักดันหรือคนใกล้ชิดของท่านไปมีนอกมีในหรือไปรับผลประโยชน์อะไรมาจากพวกธุรกิจทัวร์ท่องเที่ยวของจีนในจีน และ/หรือ ของจีนในไทย หรือบรรดาผู้เสนอตัวเป็นนายหน้ารับเหมาบริการ หรือ outsource เพราะสุดท้ายแล้ว พวกนายหน้ารับเหมาบริการจะไปหาทางออกแบบวิธีการคัดกรองคนเดินทาง เช่น วิธีให้จดแจ้งลงทะเบียนล่วงหน้าก่อนการเดินทาง ลอกเลียนแบบนายหน้ามาเลเซียเพราะคงจะโกลาหลยิ่งที่ประเทศใดจะอนุญาตให้คนจีนคนอินเดียเดินทางไปถึงหน้าประตูบ้านในจำนวนมหาศาลโดยไม่ทราบหรืออนุญาตล่วงหน้า
ดังนั้น ขอขมวดเรื่องให้เข้าใจง่ายๆ ที่สุด คือ รัฐบาลต้องศึกษาเรื่องให้ดี หาวิธีที่ถูกต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจและเงินสกุลบาทแข็ง เช่น ลดค่าของเงินอย่าง
ควบคุมบ้าง, แสวงหาตลาดใหม่ๆ รักษาตลาดเก่า เจรจาทำความตกลงเขตการค้าเสรีกับบรรดาประเทศใหญ่ๆ เช่นสหภาพยุโรปให้สำเร็จ สร้างนวัตกรรมที่โดนใจในสินค้าส่งออก อย่าให้ถูกหลอกโดยวิธีที่ผิดหรือตัวเลขสถิติที่ขาดการรับรอง หากเป็นภาษีการท่องเที่ยวที่พึงมีพึงได้หรือค่าธรรมเนียมวีซ่าที่รวบรวมได้ (ที่จริงควรปรับอัตราค่าวีซ่าให้สูงขึ้นเหมือนประเทศอื่นได้แล้ว) ก็จะเป็นผลสำเร็จยิ่ง
แต่หากมีผู้ดันทุรังนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ หรือคณะรัฐมนตรีเต็มคณะ ก็เหมาะสมอย่างยิ่งที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี จะติดตามสอดส่องให้ผู้บริหารที่สนับสนุนความเห็นที่ถูกต้องเมื่อครั้งที่แล้ว (การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562) นอกเหนือจาก ฯพณฯ เอง ซึ่งเป็นประธานการประชุม แล้ว บุคคลสำคัญอื่น ๆ อาทิ รองนายกรัฐมนตรีดูแลความมั่นคง รัฐมนตรีมหาดไทย รัฐมนตรีการต่างประเทศ รัฐมนตรีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์ ส่วนรัฐมนตรีสาธารณสุข แม้นเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเดียวกับรัฐมนตรีการท่องเที่ยวก็ตามเถิดก็ควรเตรียมท่าทีเรื่องการควบคุมป้องกันนักท่องเที่ยวชาวจีนผู้อาจติดเชื้อโรคระบาดจำนวนหลักแสนหลักสิบล้านเข้าประเทศ และการรักษาพยาบาลคนไทยผู้อาจเป็นเหยื่อโรคระบาดจากประเทศมหามิตร ซึ่งเชื่อมั่นได้ว่า ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ผู้เพียบพร้อมด้วยความรับผิดชอบและประสบการณ์ในการทำงานระดับชาติมาตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จะทำให้คนไทยทั้งมวลมั่นใจสบายใจและภูมิใจในสภาวะผู้นำของท่านได้
**********
(คมกริช วรคามิน เคยดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต ณ กรุงบูคาเรสต์ โรมาเนียและมีเขตอาณาครอบคลุมสาธารณรัฐบัลแกเรีย)
อ่านบทความก่อนหน้านี้ : เราต้องเคารพตนเองก่อนที่ผู้อื่นจะเคารพเรา (ตอนที่ 3/1)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี