1.ถ้ายังจำกันได้ เมื่อปี 2018 CEO ของ สเปซเอ็กซ์ (Space X)อีลอน มักส์ ได้ออกมาประกาศให้โลกๆได้ทราบว่า ในปี 2023 จรวดที่เขาพัฒนาขึ้นในชื่อ BFR (Big Falcon Rocket) จะออกเดินทางไปยังดวงจันทร์พร้อมผู้โดยสารคนสำคัญ “ยูซากุมาเอะซาวา” เจ้าของธุรกิจร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์ชาวญี่ปุ่น
มหาเศรษฐีวัย 42 ปี (ในช่วงเวลานั้น) บอกกับนักข่าวว่า เขาตัดสินใจเหมาทั้งลำแทนที่จะซื้อตั๋วเพียงใบเดียวเนื่องจากว่า เขาอยากพาศิลปินจากทั่วโลกประมาณ 6-8 คน ในแขนงต่างๆอาทิ จิตรกร นักดนตรี ผู้กำกับภาพยนตร์ ฯลฯ ร่วมเดินทางไปกับเขาด้วย เพื่อหวังให้ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และสร้างแรงบันดาลใจในการผลิตผลงานคนละ 1 ชิ้น เมื่อกลับลงมายังโลก
ในรายงานข่าวครั้งนั้น ไม่มีการเปิดเผยถึงรายจ่ายก้อนมหึมาที่มหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่นจ่ายไปเป็นค่าเดินทางสู่ดวงจันทร์ แต่ทางผู้บริหารของสเปซเอ็กซ์ก็ออกมาบอกเป็นนัยๆ ว่า แค่ค่ามัดจำก็สามารถทำให้โครงการนี้เสร็จสมบูรณ์ได้อย่างงดงาม
2.วันเวลาผ่านไป จนเคลื่อนมาถึงวันที่ 13 มกราคม 2020 “ยูซากุ มาเอะซาวา” คนเดิมในวัย 44 ปี ได้ออกมาสร้างแคมเปญที่ฮือฮาขึ้นอีกครั้งในโลกออนไลน์ ครั้งนี้เขาประกาศหา“เพื่อนร่วมทาง” ทั้งในชีวิตจริง และการไปดวงจันทร์ ผ่านเว็บไซต์ส่วนตัว dearmoon.earth
“ในขณะที่ความรู้สึกเหงาและว่างเปล่ากำลังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในตัวผม มีสิ่งหนึ่งที่ผมคิดอยู่คือ การรักผู้หญิงเพียงคนเดียวต่อไป ผมต้องการค้นหาคู่ชีวิต และผมต้องการตะโกนบอกรัก และขอในโลกสงบสุขจากนอกอวกาศ ด้วยกันกับคู่ในอนาคตคนนั้น” โดยเขาได้ระบุเงื่อนไขของการมาเป็น “คนพิเศษ”ก็คือ ต้องเป็นสาวโสด อายุมากกว่า 20 ปีมองโลกในแง่ดี และรักในการผจญภัย โดยเฉพาะในอวกาศ
สถานีโทรทัศน์ Abema TV ของประเทศญี่ปุ่นรายงานว่า เพียงไม่กี่วันโครงการ “หาคนพิเศษไปดวงจันทร์” ของมาเอะซาวา มีหญิงสาวเข้ามาสมัครแล้วจำนวนกว่าสองหมื่นคน แต่กระนั้นก็มีบางส่วนของสังคมที่มองว่า กิจกรรมนี้เป็นเพียงการหาทางประชาสัมพันธ์ตัวเองของมาเอะซาวา และผู้หญิงควรมีคุณค่ามากกว่าการแข่งขันกันผ่านรายการหาคู่ เพื่อให้ไปอยู่บนดวงจันทร์ในฐานะแฟน
“ฉันต้องการเห็นผู้หญิงคนแรกที่ไปดวงจันทร์ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นผู้แข่งขันในรายการหาคู่ที่มีราคาแพง แต่เป็นเพราะเธอควรค่าต่อความรู้ทักษะเท่าที่ผู้ชายทุกคนมี เพราะเธอเป็นวิศวกรที่มีคุณสมบัติ หรือนักวิทยาศาสตร์ หรือมากกว่าแค่โอกาสทางเพศ” นี่เป็นส่วนหนึ่งจากทวิตเตอร์ที่แสดงความเห็นต่อแคมเปญนี้และกลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในโลกออนไลน์ต่อสถานะความเป็นผู้หญิงในดินแดนอาทิตย์อุทัย
3.เรื่องราวของ “รัฐมนตรีลาคลอด” ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจในช่วงปีใหม่ไม่แพ้ “การหาคนพิเศษไปเที่ยวดวงจันทร์” ของ “ยูซากุ มาเอะซาวา” เลยสักนิด เมื่อ “ชินจิโร โคอิสุมิ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม วัย 38 ปี ได้ออกมาประกาศหยุดงาน 2 สัปดาห์ เพื่อขอใช้เวลาตรงนั้นในการช่วยภรรยาของเขาดูแลลูกที่เพิ่งคลอดออกมา
“ผมหวังว่าการใช้สิทธิลาคลอดของผมจะนำไปสู่จุดที่ว่า ใครๆ ในกระทรวงก็สามารถใช้สิทธินี้ได้ โดยไม่ต้องลังเล” นี่คืออีกหมุดหมายหนึ่งของโคอิสุมิ นอกเหนือจากการแบ่งเบาภาระความเป็นแม่ของภรรยาในการดูแลลูกน้อย นอกจากนั้น เขายังวางแผนเอาไว้ว่า ช่วงเวลา 3 เดือนแรกนั้นเขาจะทำงานอยู่ที่บ้านผ่าน Email หรือการประชุมทางไกล (Video Conference)เป็นหลัก หรืออาจจะลดเวลาในการทำงานของแต่ละวันลง และถ้าหากมีความจำเป็น เขาจะให้ผู้ช่วยประจำตัวไปปฏิบัติงานแทนในกรณีของการประชุมต่างๆ ที่เกิดขึ้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายวัฒนธรรมการทำงานหนักและเป็นหลักให้ครอบครัวของผู้ชายชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก แม้กฎหมายแรงงานของประเทศจะระบุว่า สามารถลาคลอดได้นานถึง 1 ปี ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม แต่จากสถิติที่ผ่านมา มีผู้ชายใช้สิทธินี้เพียง 6% เท่านั้น ต่างจากผู้หญิงที่มากถึง 82% และ “ชินจิโร โคอิสุมิ” คือคนที่ตั้งใจจะมาเปลี่ยนแปลงความเชื่อนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ผู้ชายที่ใช้สิทธิลาคลอดจะโดนกระทำด้วยมาตรการต่างๆ จากบริษัทเอกชน อาทิ ลดตำแหน่ง หรือหักเงินเดือน จนการลาคลอดสำหรับผู้ชายกลายเป็นสิ่งต้องห้ามในสังคมคนบ้างานของญี่ปุ่นไปเลย ซึ่งในมุมที่ควรมองก็คือ คำถามที่ว่า แล้วผู้หญิงล่ะ จะได้รับการปฏิบัติแบบนี้บ้างหรือไม่
4.เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา “มูลนิธิอ็อกแฟม” (Oxfam) ซึ่งเป็นขบวนการของคนนับล้านทั่วโลกที่ร่วมกันทำงานภายใต้ความเชื่อมั่นอย่างเดียวกันที่ว่า “โลกที่ปราศจากความยากจน เป็นจริงได้” ได้เผยแพร่รายงานออกมาว่า โลกในตอนนี้มีมหาเศรษฐีทั้งหมด 2,153 คน ซึ่งมหาเศรษฐีเหล่านั้นมีทรัพย์สินมากกว่าคนยากจนกว่า 4.6 พันล้านคนทั่วโลก หรือพวกเขาร่ำรวยกว่าประชากร 60 เปอร์เซ็นต์ของโลก และรายงานชิ้นนี้ยังชี้อีกว่าหากคนรวยที่สุด 1 เปอร์เซ็นต์ จาก2,153 คน จ่ายภาษีจากทรัพย์สินของพวกเขาเพิ่มขึ้นอีกแค่ 0.5 เปอร์เซ็นต์เป็นเวลา 10 ปี จะเท่ากับเงินลงทุนที่จำเป็นต้องใช้เพื่อสร้างงาน 117 ล้านตำแหน่ง ในด้านการดูแลผู้สูงอายุ เด็กการศึกษา และสุขภาพ
ที่ลึกไปกว่านั้น รายงานด้านความไม่เท่าเทียมทั่วโลกของอ็อกแฟม ยังแสดงข้อมูลเชิงเปรียบเทียบที่ว่า คนรวยที่สุดในโลกเพียง 22 คน รวมกันจะมีทรัพย์สินมากกว่าผู้หญิงทั้งหมดในทวีปแอฟริกา ส่วนข้อมูลผู้หญิงทั่วโลกที่ไม่สามารถหางานได้ โดยต้องรับภาระหน้าที่ดูแลครอบครัวมีทั้งหมด 42% ของผู้หญิงทั่วโลก ต่างจากผู้ชายที่มีเพียง 6% เท่านั้น เพราะพวกเธอส่วนใหญ่มักไม่มีเวลาที่จะเข้ารับการศึกษา หรือมีโอกาสออกมาพูดว่าสังคมของเราควรไปในทิศทางใด ดังนั้นพวกเธอจึงติดอยู่ในกับดักชั้นล่างสุดของระบบเศรษฐกิจ
“ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงแบกรับภาระมากเป็นพิเศษ เนื่องจากพวกเธอส่วนใหญ่เป็นผู้ให้การดูแลคนที่ทำให้วงล้อของเศรษฐกิจ ธุรกิจ และสังคมของเราสามารถหมุนต่อไปได้ (ผู้ชาย) และช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนไม่อาจแก้ไขได้ หากปราศจากนโยบายทำลายความไม่เท่าเทียมอย่างตรงจุด”นี่คือสารจาก “อมิตาภ เบฮาร์”เจ้าหน้าที่ของอ็อกแฟม ประจำประเทศอินเดีย บนเวทีการประชุม WorldEconomic Forum ที่กรุงดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
5.ไม่ว่าใครจะมองว่า การให้ผู้หญิงมาแข่งขันกันเพื่อให้ได้เดินทางไปดวงจันทร์กับมหาเศรษฐี หรือการลาคลอดของรัฐมนตรีชายเพื่อไปช่วยภรรยาเลี้ยงลูกเป็นเรื่องที่น่ายินดี และเป็นที่ฮือฮา แต่นี่คือราคาที่ต้องจ่ายของความไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ แม้แต่ในประเทศที่ผู้คนมีความอ่อนน้อมถ่อมตนมากที่สุดอย่างญี่ปุ่นก็ตาม
คำถามก็คือว่า จะทำอย่างไรให้ความไม่เท่าเทียมตรงนี้หมดไปถึงตรงนี้ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ นั่นอาจเพราะเราถูกสร้างมาในกระบวนการคิดและรูปแบบสังคมในลักษณะนี้อย่างยาวนาน นานเสียจนความเข้าใจที่ว่า “แม่บ้าน” คือสถานะสำคัญของความเป็นแม่กับเมียเท่านั้น และนี่เองที่เป็นความเข้าใจที่ทำลายความชอบธรรมในการดำเนินชีวิตของผู้หญิงไป เหลือไว้แค่เพียงกรอบที่ครอบพวกเธอ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี