City Center
นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสาธารณรัฐเช็ก และชื่นชอบการเยือนเมืองมรดกโลก สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งของประเทศที่ต้องไปเยือนให้ได้ นอกจาก Litomysl ก็คือ Olomouc เมืองทาง ทิศตะวันออกเฉียงใต้ห่างจากกรุงปรากโดยรถไฟ 2 ชั่วโมง 15 นาที เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับหกของประเทศและเป็นเมืองหลักของแคว้น Moravia ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 นี้ เคยเป็นที่ตั้งของค่ายทหารโรมันริมแม่น้ำ Morava เมืองที่ถูกกล่าวถึงครั้งแรกตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 2 ย้อนหลังไปสมัยสงครามMarcomannic และต่อมาชาวสลาฟได้ย้ายมาอยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 นี้ได้กลายเป็นที่พำนักของบิชอปเริ่มตั้งแต่ปี 1063 จึงได้มีการสร้างพระราชวังขึ้นตามแนวทางศิลปะแบบโรมันเนสท์ก่อนได้รับการเลื่อนให้เป็นที่พำนักของ Archbishop ที่ย้ายมาจาก St.Peterเพื่อมาอยู่ ณ โบสถ์ St.Wenceslas ในปี 1141
Altar
นับจากนั้นมา Olomouc ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นและกลายเป็นที่พำนักของรัฐบาล Premyslidแต่เมืองนี้ก็ถูกลดสถานะลงเมื่อพระเจ้า Wenceslasที่สามแพ้สงครามต่อ Wladyslaw ที่ 1และถูกสังหาร เมืองได้รับการสถาปนาและคืนสู่อำนาจการเป็นศูนย์กลางใหม่กลางคริสต์ศตวรรษ ที่ 13ในปี 1454 รัฐบาลได้ขับไล่ชาวยิวออกจากเมืองตามกระแสต่อต้านยิวตามอย่างสเปนและโปรตุเกสในช่วงเวลานั้น เมืองกลับมารุ่งเรืองสู่ยุคทองอีกครั้งและกลายเป็นสถานที่จัดการประชุมระหว่างราชวงศ์โดยผู้ปกครองเมืองนี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ประจำแคว้นโบฮีเมีย แต่ก็พ่ายแพ้ต่อชาวสวีดิชอีกครั้งหลังสงคราม 8 ปีในปี 1650 ยังผลให้เมืองเสียหายมากและตกเป็นรองเมือง Brno ในปี 1740 เมืองนี้ตกเป็นของรัสเซียและถูกปกครองโดยพระนางมาเรียเทเรซ่า ระหว่างสงคราม Frederick the Great ในปี 1848 ที่นี่เป็นสถานที่พระจักรพรรดิเฟอร์ดินันด์สละราชย์
Holy Trinity Column
อีก 2 ปีต่อมา ออสเตรียและเยอรมันได้ประชุมกันและตกลงที่จะจัดตั้ง German Confederation และปรัสเซียภายใต้การนำของออสเตรีย นับจากนั้นมาเมืองนี้ก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมเยอรมันแม้กระทั่งชื่อจัตุรัสก็ถูกเปลี่ยนเป็นภาษาเยอรมัน ถึงกระนั้นก็ตามเมืองนี้ยังคงใช้ภาษาเช็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการติดต่อราชการ เมื่อสงครามโลกปะทุขึ้นชาวเมืองทั้งสองสัญชาติจึงเกิดการปะทะกัน ซ้ำร้ายกลุ่มที่เข้าข้างนาซียังทำการเผาโบสถ์ชาวยิวและขับไล่ชาวยิวออกจากเมืองเฉกเช่นเดียวกันกับที่ทหารนาซีกระทำกับทุกเมือง ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะสิ้นสุดลง ทหารเยอรมันได้ทำลายหอนาฬิกาใหญ่ของเมืองลงซึ่งสร้างความโกรธแค้นให้กับชาวเช็กพื้นเมืองมาก เมื่อเยอรมันแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง Olomouc ก็ได้รับการปลดปล่อยจากอิทธิพลของเยอรมัน ชาวเยอรมันส่วนหนึ่งก็ถูกขับไล่ออกจากเมืองตอบแทนความโหดเหี้ยมที่พวกเขาเคยทำกับเมืองและชาวยิว ชาวเช็กได้เปลี่ยนชื่อจัตุรัสกลับไปใช้ภาษาเช็กเช่นเดิม นับจากนั้นมา เมืองนี้กลับไม่สามารถฟื้นฟูให้รุ่งเรืองดังเดิมเฉกเช่นเดียวกันกับ Prague, Cesky Krumlov และ Karlovy Vary ได้อีกเลย
Main Altar
สำหรับโบสถ์ St Wenceslas ที่อยู่กลางจัตุรัสประจำเมืองที่ถูกก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1107 ภายใต้แนวคิดของเจ้าชาย Svatopluk และมีชื่อตั้งตาม Duke of Bohemia คนสุดท้ายในโอกาสครบรอบพันปีที่ท่านเสียชีวิตนั้นก็คือโบสถ์ที่ประทับของสงฆ์เจ้าคณะนิกายโรมันคาทอลิกที่ได้รับการสถาปนามาจากกรุงโรม โบสถ์ที่ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกตามแนวทางศิลปะแบบโรมันเนสท์และปรับปรุงให้เป็นไปตามแนวทางแบบนีโอโกธิคในคริสต์ศตวรรษที่ 14 นั้นได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่หลังถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1883 ภายใต้การออกแบบโดย Gustav Meretta และ R. Volkel โบสถ์ที่ประกอบด้วยหอคอย 3 หลังโดยหลังที่สองสูงที่สุดของสาธารณรัฐเช็กนี้ ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ล่าสุดในปี 2007 นี่เอง โบสถ์นี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองเพราะมีหอคอยที่สองที่สูงถึง 100.65 เมตรนี้และเป็นหอคอยสูงที่สุดในประเทศจึงเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวทั้งเมืองได้อย่างจุใจ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี