พระตำหนักใหญ่
จากโครงการเผยแพร่มรดกศิลปวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่นำเรื่องราวใหม่ๆ น่าสนใจใคร่รู้กันทุกปีนั้น ทำให้ได้รู้ถึงมรดกแผ่นดินที่เครือข่ายของกรมศิลปากรทำงานกันมาตลอด โดยมีวิทยากรที่รู้จริงและรับผิดชอบพื้นที่ให้ข้อมูลนั้น นับเป็นโครงการหนึ่งที่สร้างการมีส่วนร่วมในสังคม ปีนี้โครงการดังกล่าวได้ตามรอยภูมิสถานสำคัญที่ไม่ค่อยจะได้รู้จัก เพื่อสืบต่อเรื่องราวจากการเปิดตำนานวังหน้าจากอดีตถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะตามรอยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปที่ พระบวรราชวังสีทา ที่ตำบลสองคอน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
คณะโครงการเผยแพร่มรดกศิลปวัฒนธรรมฯ
ในรัชกาลที่ ๔ นั้น มีกงสุลต่างชาติเดินทางเข้ามาตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ด้วยเหตุที่ต่างไม่ได้คุ้นในภาษาและเข้าใจต่อกัน จึงมักมีเรื่องโต้เถียงกันเสมอ แล้วกงสุลต่างชาติมักขู่จะเรียกเรือรบเข้ามากรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรำคาญพระราชหฤทัยจึงมีพระราชดำริจะตั้งเมืองลพบุรีเป็นราชธานีสำรองตามอย่างสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่มีความเห็นอีกฝ่ายหนึ่งว่าควรตั้งที่เมืองนครราชสีมา พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นไปตรวจพื้นที่และทรงเห็นว่าเมืองนครราชสีมากันดารน้ำ ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดที่เขาคอก ตำบลท่าคล้อ แขวงเมืองสระบุรีด้วยมีภูเขาโอบล้อมเป็นธรรมชาติ สำหรับทำเป็นป้อมหรืออ่างเก็บน้ำโดยธรรมชาติในยามแล้งได้ โดยให้เขาคอกเป็นแนวปราการด้านหลัง ส่วนด้านหน้านั้นวางแนวหินเป็นสันเขื่อนที่สามารถใช้เป็นที่กั้นบริเวณ ให้เป็นแนวปราการ หรือป้อมค่ายรวมพลส่งกำลังต้านข้าศึกที่รุกเข้ามาจากด้านแม่น้ำป่าสักหรือตะวันออกเฉียงเหนือได้ ส่วนในความเป็นจริงอย่างไรนั้นต้องหาข้อมูลต่อว่าเขาคอกนี้ได้ใช้งานจริงอะไร ซึ่งภายในนั้นมีสระน้ำปรากฏอยู่ ๒ แห่ง และด้านหน้าแนวปราการมีคลองธรรมชาติไหลออกไปลงแม่น้ำป่าสัก โดยใช้เรือเดินทางลงป่าสักหรือใช้ช้างม้าเดินบกได้ แนวปราการนี้จึงมีช่องประตูเข้า-ออกทางเดียว โดยโปรดให้หลวงยกกระบัตรโนรี นายอำเภอคนแรกของแก่งคอยซึ่งเป็นเชื้อสายลาวเวียงจันทน์ เป็นผู้สร้างกำแพงเขาคอก นัยว่าสำหรับใช้ป้องกันช้างและม้าหนีออกจากคอกค่ายนี้ได้
ช่องประตูเข้า-ออกเขาคอก
ส่วนด้านล่าง ส่วนที่เป็นเนินดินสูงริมแม่น้ำป่าสักณ ตำบลบ้านสีทานั้น พระองค์ทรงโปรดให้สร้างพระบวรราชวังเป็นที่ประทับในคราวเดียวกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงสร้างพระที่นั่งในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ ที่เมืองลพบุรี พระบวรราชวังสีทาแห่งนี้มีบริเวณกว้างมาก ประมาณกว่า ๑๕๐ ไร่ ปัจจุบัน กำนันสุพัฒน์ ฤทธิ์จำปา ได้กันให้เป็นที่สาธารณะได้ ๔ ไร่เศษ จึงคงเห็นบางส่วนที่เป็นฐานรากก่ออิฐพระตำหนักและอื่นๆ เดิมนั้นตั้งเป็นอาคารเครื่องไม้ เป็นส่วนพระตำหนักใหญ่ ด้านใต้มีแนวฐานรากของพระอาราม เป็นโบสถ์ มีหินสีมาตั้งประจำทิศอยู่รอบ ด้านหน้ามีแนวอิฐที่เป็นฐานรากของอาคารประกอบอยู่ ๒-๓ แห่ง และหลุมขนาดใหญ่ที่เป็นเตาเผา โดยเฉพาะริมแม่น้ำป่าสักนั้นมีแนวฐานรากของอาคารสำหรับเป็นที่ทหารอยู่ สำหรับในส่วนที่ถูกรุกไปนั้นไม่สามารถสืบค้นและหาร่องรอยอะไรได้มากกว่านี้ไปควานหากันเอาเอง หากเห็นความสำคัญก็คงมีอะไรคืนให้บ้านเมืองได้ข้อมูลเพิ่มเติมบ้าง พระบวรราชวังสีทาแห่งนี้เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตแล้วพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้รื้อเครื่องเรือนตำหนักลงมาสร้างวังพระราชทานแก่พระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้เหลือแต่แนวฐานรากของอาคารให้เห็น
คลองธรรมชาติหน้าเขาคอก
ปัจจุบันบริเวณพระบวรราชวังแห่งนี้กลับกลายเป็นที่ดินที่ราษฎรเข้าไปทำไร่ มีการไถทำลายซากเดิมและรุกพื้นที่ บริเวณชานประตูพระราชวังนั้นยังมีร่องรอย
ก่ออิฐฉาบปูน รอยวางแผ่นกระดานทำสะพานยื่นไปยังบึงน้ำที่ชาวบ้านเรียกว่า “บึงตลาดไชย” อยู่ทิศใต้ ห่างประมาณ๑๐๐ เมตร เล่ากันว่า พระองค์ทรงใช้เป็นที่ประทับสำหรับสรงน้ำในบึงแห่งนี้ และเป็นที่ฝ่ายในใช้อุปโภคในคราวมาพักแรมในฤดูร้อนทุกปี ด้วยพระองค์นั้นทรงสามารถเป่าแคนและโปรดปรานมากจนครึกครื้นกันทั้งวังหลวง จนมีประกาศใน ร.๔ ให้ห้ามเล่นในวังหลวงจึงทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นภูมิสถานเสียงแคนและแอ่วลาวอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์กลอนลำแอ่วลาว ที่ได้ยินเสียงแคนมาคราวใดก็เหมือนเสียงใบฉำฉาถูกกวาดให้คืนพื้นที่กลับคืนนั่นแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี