ภาพเก่าวัดพนัญเชิง
เมื่อมีมาตรการคัดกรองและเคอร์ฟิวเกิดขึ้นในยามวิกฤติติดเชื้อเช่นนี้ การเดินทางอ้างแรมจึงทำได้ค่อนข้างยาก จนสถานที่หลายแห่งไม่มีนักท่องเที่ยวขาจรมาสร้างรายได้ให้ท้องถิ่น สถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวนั้นวัดพนัญเชิงวรวิหาร ที่ตำบลคลองสวนพลู จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นวัดหนึ่งที่ชาวไทย-จีนต่างนิยมไปไหว้ พระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อซำปอกง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สุดของเมืองอโยธยาศรีรามเทพนคร
ด้วยเป็นเมืองโบราณที่ตั้งก่อนกรุงศรีอยุธยา ในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้างวัดและพระราชทานนามว่า วัดเจ้าพระนางเชิง อันมีตำนานเล่าถึงพระนางสร้อยดอกหมาก ธิดาพระเจ้ากรุงจีน มีความบันทึกไว้ว่า“จุลศักราช ๔๐๖ ปีมะโรงศก จึงเชิญพระศพมาพระราชทานเพลิงที่แหลมบางกะจะ สถาปนาเป็นพระอาราม ให้นามชื่อวัดพระเจ้าพระนางเชิงแต่นั้นมา” ส่วนพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ นั้นระบุไว้ว่า “ลุศักราช ๖๘๖ ชวดศก แรกสถาปนาพระพุทธเจ้าเจ้าพแนงเชิง...” คือได้มีการสถาปนาพระพุทธรูปพุทธเจ้าพแนงเชิง เมื่อปี พ.ศ.๑๘๖๗ ก่อนพระเจ้าอู่ทอง สถาปนากรุงศรีอยุธยา ๒๖ ปี พระพุทธรูปองค์นี้สร้างเป็นปางขัดสมาธิ ซึ่งเรียกกันว่า พแนงเชิง หรือ แพงเชิง คือ นั่งขัดสมาธิปัจจุบันเรียกว่า “พระพุทธไตรรัตนนายก” หรือหลวงพ่อซำปอกง เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สุด หน้าตักกว้าง ๒๐ เมตรเศษ สูง ๑๙ เมตรเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยนั่งสมาธิ ตอนเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.๒๓๑๐ นั้นได้รับความเสียหาย ต่อมาได้รับการบูรณะซ่อมแซมเรื่อยมา
ชุมทางแม่น้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก
จนสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๔ ได้โปรดเกล้าฯให้บูรณะใหม่หมดทั้งองค์ และพระราชทานนามใหม่ว่า พระพุทธไตรรัตนนายก และวัดนี้เรียกชื่อว่า วัดพนัญเชิง หรือวัดพระแนงเชิง หมายถึงวัดแห่งพระพุทธรูปปางมารวิชัยนั่งสมาธินั่นเอง คงไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าแม่สร้อยดอกหมากไว้เชิงอะไรตามตำนานเล่ากัน เพราะเมื่อแรกครั้งพระเจ้าสายน้ำผึ้งสถาปนาวัดแห่งนี้เมื่อพ.ศ.๑๕๘๗ นั้นเรียกชื่อวัดพระเจ้าพระนางเชิง หมายถึง สถานที่พระเจ้าสายน้ำผึ้งเชิญพระนางสร้อยดอกหมากที่กลั้นใจตายเมื่อแรกนั้นจะมีพระพุทธรูปในวิหารอย่างไรไม่มีหลักฐาน แต่วัดนั้นต้องสร้างพระพุทธรูปประธานอยู่หรือสร้างไว้แต่องค์ขนาดเล็ก จนล่วงมาได้ ๒๘๐ ปี จึงได้สร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่นี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๑๘๖๗ พอสรุปความได้ว่าวัดนี้สร้างไว้ก่อนแล้วจึงมีการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ และน่าจะมีพระพุทธรูปประธานองค์เดิมครั้งสร้างวัดอยู่ด้วยหรืออย่างไร
บานประตูลายจำหลัก
น่าสืบค้นหาข้อมูลกัน ด้วยมีพระพุทธรูปศิลปะอโยธยาอยู่หลายองค์ ด้วยเหตุพระเจ้าสายน้ำผึ้งปรากฏพระนามเป็นกษัตริย์เมืองอโยธยา คือ อโยธยาศรีรามเทพนคร ที่ปรากฏชื่อในจารึกของสุโขทัยมีความสำคัญในฐานะเมืองท่าและเมืองหลวงคู่แฝดกับกรุงละโว้มาตั้งแต่ราว พ.ศ.๑๗๐๐ในพระราชพงศาวดารเหนือ และพงศาวดารฉบับ “คำให้การของขุนหลวงหาวัด” นั้นมีรายพระนามกษัตริย์เมืองอโยธยาว่ามีอยู่ ๑๙ พระองค์ และพระเจ้าสายน้ำผึ้งคือ เจ้าดวงกฤษณราช นั้นเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๑๒ และ กษัตริย์องค์สุดท้ายของอโยธยาก็คือ พระเจ้าอู่ทอง ซึ่งทรงย้ายจากตำหนักเวียงเหล็กคือวัดพุทไธสวรรย์ในปัจจุบันโดยข้ามฟากแม่น้ำมาสร้างกรุงศรีอยุธยา ที่หนองโสน หรือบึงพระราม หลังจากที่เจ้าแก้วเจ้าไทย ครองอโยธยาแล้วเกิดโรคห่าระบาดสิ้นพระชนม์ลง พระเจ้าอู่ทองทรงฟื้นฟูราชวงศ์ตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นอาณาจักร แน่นอนว่าวัดพระเจ้าพระนางเชิงแห่งนี้จักได้รับการบูรณะฟื้นฟูให้งดงามตามยุคสมัยเช่นเดียวกับวัดอื่นๆ ในกรุงอโยธยาศรีรามเทพนคร วัดพระนางเชิงนี้นับเป็นวัดที่มีบทบาทสำคัญมาทุกยุคสมัย ด้วยเป็นวัดตั้งอยู่ชุมทางแม่น้ำตรงป้อมเพชร ตลาดบางกะจะ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่เจิ้งเหอ หรือซานเป่ากง ส่งเรือสำเภาจีนนำสินค้าลงเรือเข้ามาค้าขายยังกรุงศรีอยุธยา เมื่อพ.ศ.๑๙๘๗-๑๙๘๘ แม้แต่คราวเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.๒๓๑๐ นั้นในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาหลายความบันทึกไว้ตรงกันว่า “...ด้วยอายุแผ่นดินของกรุงพระนครศรีอยุธยาถึงกาลขาด จึงอาเพศให้เห็นประหลาดเป็นนิมิตพระประธานในวัดพระนางเชิงน้ำพระเนตรไหลลงมาจนถึงพระนาภี...” ดังนั้นในยามบ้านเมืองมีภัยเกิดขึ้นเช่นนี้จึงมีผู้คนมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี่เป็นประจำ...ด้วยเป็นวัดสำคัญแห่งเมืองอโยธยาศรีรามเทพนครแต่โบราณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี