พัฒนาการของการแต่งตัวเริ่มกันเป็นเรื่องเป็นราวในยุคที่แนวทางศิลปะแบบโรแมนติกรุ่งเรืองซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากยุคโกธิคและเรอเนสซองส์ ผู้หญิงจะใส่รองเท้าแบนราบ ทาแป้งให้ตัวมีผิวสีซีด เสื้อตัวโคร่งทำให้ดูเหมือนลอยได้ ผู้ชายก็ใส่เสื้อราบเรียบขึ้นโดยประกอบด้วยสูท 3 ชิ้น และเสื้อหนาวตัวยาว ในยุค Art Nouveau จะเน้นการตกแต่งและเลียนแบบธรรมชาติโดยเน้นเอวบางร่างน้อยจากชุดชั้นในที่รัดทรงจนแน่นเป็นรูปตัว S แต่สะโพกผายส่งผลให้รูปร่างของสตรีผันแปรไปมาก การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตผ้าและวิถีชีวิตของชาวยุโรปไปอย่างสิ้นเชิง ชนชั้นกลางกลายเป็นผู้ควบคุมแฟชั่นและทำให้แฟชั่นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนทั่วไปพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเลียนแบบชนชั้นสูงโดยผู้หญิงก็จะแต่งตัวประดับประดาอย่างเหลือล้นเพื่อแสดงว่าเป็นผู้มีอำนาจทางการเงิน ชุดกระโปรงสตรีจะเป็นไปอย่างผิดส่วนอีกครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเอวคอดกิ่วเสียจนกระทั่งไม่สามารถนั่ง หรือเดินผ่านประตูธรรมดาๆ ได้ ยุคอุตสาหกรรมทำให้การผลิตแบบจำนวนมากเกิดขึ้น เริ่มจากชุดชั้นในและของใช้เบ็ดเตล็ด ตามด้วยชุดทำงานทั้งหญิงและชาย เสื้อผ้าผู้หญิงกลายเป็นแฟชั่นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าทำงานสำหรับชนชั้นกลาง หรือแม้แต่ชุดราตรีในขณะที่เสื้อผ้าผู้ชายยังคงเป็น 3 ชิ้นแบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เป็นจุดแบ่งที่สำคัญระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 กับยุคใหม่ ขบวนการเสรีภาพเห็นได้อย่างเด่นชัดจากการที่ผู้หญิงจำนวนมากเข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ในช่วงเวลานั้นเริ่มมีการเดินแบบของนางแบบเอวบางร่างน้อย ผู้หญิงจึงนิยมการมีรูปร่างผอมเพรียว อกแฟบเพื่อที่จะสามารถอำพรางรูปร่างได้เสมือนเป็นการเลียนแบบผู้ชายเอวที่เคยถูกยกสูงไว้ใต้อกก็กลับมาตำแหน่งปกติเหนือสะโพก เสื้อผ้ายุคนั้นยังต้องพัฒนาให้เหมาะแก่การเต้นรำและใช้ชีวิตนอกบ้าน ในช่วงสงครามสเปนและสงครามโลกครั้งที่สองนั้น เสื้อผ้าที่ใช้สะท้อนความเข้มงวด ความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจ และความอนุรักษ์ เสื้อผ้าที่เคยดูหรูหราในช่วงทศวรรษที่ 1930 กลายเป็นต้องประหยัดในทศวรรษที่ 1940 โดยได้รับอิทธิพลจากชุดทหาร เสื้อผ้าผู้หญิงกลางวันกลายเป็นชุดสั้น แต่ผู้หญิงส่วนหนึ่งยังคงสวมชุดยาวในเวลากลางคืน ทศวรรษที่ 1950 ผู้หญิงกลับไปนิยมสวมเสื้อผ้าเน้นให้หน้าอกใหญ่และสะโพกผายมากขึ้นเช่นเดิม
หลังสงครามโลกฝรั่งเศสกลายเป็นผู้นำแฟชั่น การจัดแฟชั่นโชว์ที่ปารีสจะทำปีละ 2 ครั้ง โดยมีการนำเสนอการตัดเย็บพิเศษสำหรับดารา และคหบดี เสื้อผ้ายี่ห้อ Christian Dior ซึ่งเป็นยี่ห้อชั้นนำจะเน้นสัดส่วนของผู้หญิงและเน้นชุดชั้นในรัดทรงอีกครั้งหนึ่ง ในทศวรรษที่ 1960 นั้นเด็กรุ่นใหม่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และออกแบบเครื่องแต่งกายของตัวเองแยกจากคนรุ่นเก่า เสื้อผ้าเริ่มมีความละม้ายคล้ายคลึงกันมากขึ้น และเสื้อผ้าที่ใช้ได้ทั้งสองเพศเริ่มมีบทบาทมากขึ้น รวมทั้งมีการใช้สีสันที่สดใสมากขึ้นด้วย หลังทศวรรษที่ 1980 ผู้ผลิตเสื้อผ้าเน้นการออกแบบให้สามารถขายกับคนหมู่มาก ทั้งชายและหญิงเริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองด้วยการเพิ่มรอยสักบนร่างกาย เด็กรุ่นใหม่เริ่มสร้างมาตรฐานความงามที่แตกต่าง และเสื้อผ้าที่ใส่กันทั่วไปเริ่มกลายเป็นแฟชั่น
ในทศวรรษที่ 1990 แฟชั่นหันมาเน้นความเรียบง่ายแบบ minimal โดยเฉพาะสีขาวและดำ นักออกแบบเริ่มปรากฏขึ้นทั่วไปโดยมีการออกแบบเฉพาะสำหรับห้องเสื้อเล็กๆ ขายเอง แนวโน้มใหม่ที่คนส่วนใหญ่ในโลกเริ่มแต่งตัวเหมือนๆ กันและซื้อเสื้อผ้ายี่ห้อเดียวกันจาก globalization เกิดขึ้นทั่วโลก การวิจัยเทคโนโลยีเกี่ยวกับผ้าทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและแฟชั่นเปลี่ยนไป ความพยายามให้จำกัดความคำว่าสวยทำให้มนุษย์ใช้ความพยายามมากขึ้นในการควบคุมรูปร่างให้ผอม มีกล้ามเนื้อ แข็งแรง ดูน่าดึงดูดเฉกเช่นเดียวกันกับนางแบบ ยิ่งกว่านั้นคนส่วนใหญ่ยังเริ่มยอมรับการผ่าตัดตกแต่ง การอดอาหาร และการออกกำลังกายเพื่อให้มีสุขภาพดีและเปลี่ยนแปลงรูปร่างด้วย
นักท่องเที่ยวที่ได้ชมนิทรรศการเสื้อผ้า ณ Museum of Decorative Art Barcelona ไม่เพียงจะได้โอกาสทำความเข้าใจและสัมผัสประสบการณ์การพัฒนาการของเสื้อผ้าอย่างที่ไม่เคยสัมผัสกับที่ใดมาก่อนแล้ว ยังจะรู้สึกเหมือนได้ดูแฟชั่นโชว์ย้อนยุคที่น่าประทับใจที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี