สถานการณ์ระบาดของโควิด 19 เป็นสัญญาณเตือนถึงความสำคัญของ "ความมั่นคงทางอาหาร" และเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าความมั่นคงทางอาหารเป็นปัจจัยที่ช่วยให้โลกก้าวข้ามวิกฤตครั้งนี้ไปได้ สำหรับประเทศไทยในวิกฤติโควิดครั้งนี้่ เรียกได้ว่า เราไม่ตกอยู่ในภาวะขาดแคลนอาหาร คนไทยยังมีอาหารที่สะอาด ปลอดภัย มีคุณภาพ บริโภคอย่างเพียงพอด้วยภาครัฐและภาคเอกชนที่ตระหนักถึงความสำคัญและมีมาตรการรับมือในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี
การสร้างความมั่นคงทางอาหาร หลายโครงการได้รับการสนับสนุนโดยภาคเอกชน หนึ่งในนั้น คือ "โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน" มีโรงเรียนเป็นแหล่งผลิตอาหารที่ยั่งยืน เพื่อส่งมอบโอกาสในการเข้าถึงโปรตีนคุณภาพให้แก่เด็กและเยาวชนอย่างทั่วถึง ทั้งเด็กนักเรียนในเมือง เด็กนักเรียนตามโรงเรียนชายขอบ เด็กไทยและเด็กต่างด้าว
"โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน" ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ พ.ศ. 2532 จนถึงปี พ.ศ.2563 เข้าสู่ปีที่ 31 แล้ว มีโรงเรียนทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการ 855 โรงเรียน ด้วยความตั้งใจเดียวกัน คือ อยากเห็นเด็กและเยาวชนมีโภชนาการที่ดี เป็นกำลังสำคัญของประเทศ ความร่วมมือโดยบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพ ฯ (JCCB) และบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) จึงเป็นความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
โครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ในศูนย์การเรียนรู้อา โยน อู ( Ah Yone Oo) อยู่ที่หมู่ 10 ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก ติดกับชายแดนเมียวดี ประเทศพม่า ก่อตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2548 จนถึงปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 16 แล้ว มีจำนวนนักเรียน 110 คน ครู 7 คน ทั้งหมดเป็นสัญชาติเมียนมา เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ศูนย์เด็กเล็กจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 (Grade 1-7) ใช้หลักสูตรของพม่าในการเรียนการสอน มีวิชาภาษาไทยเข้าไปเสริม และมีการสอนหลักสูตรการศึกษานอกระบบด้วย (กศน.)โดยมีนักเรียนที่ศึกษาในระบบ กศน.จำนวน 7 คน ก่อนหน้านี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์เข้าไปสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการเรียนการสอนของศูนย์ฯ และต่อยอดสู่การดูแลสุขอนามัยของเด็กนักเรียนซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์โดยมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ร่วมมือกับองค์กรระดับสากล อาทิ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ดูแลด้านโภชนาการของเด็กในศูนย์แห่งนี้
จ่อซาน ผู้อำนวยการศูนย์การเรียน อา โยน อู กล่าวว่า การเปิดศูนย์การเรียนรู้ฯ เพื่อให้ลูกหลานของชาวเมียนมาที่อพยพมาอยู่ในประเทศไทยได้รับการศึกษาและรณรงค์ห่างไกลยาเสพติด เริ่มแรกเปิดการเรียนการสอนมีเพียงชั้นเด็กเล็กจนถึงประถมศึกษาปีที่ 2 (Gread 2) จากนั้นได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ สนับสนุนค่าเช่าที่ดินที่เปิดสอน อาคารเรียน เงินเดือนครู ฯลฯ ทางศูนย์ฯ สามารถรับนักเรียนได้เพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบันเปิดสอนจนถึง Grade 7 และยังสนับสนุนให้เด็กๆ เรียนรู้กิจกรรมอื่นๆ อาทิ การเลี้ยงไก่ไข่ การปลูกผักสวนครัว เพื่อที่เด็กๆ จะสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ๆไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ศูนย์การเรียนรู้ อา โยน อู เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จจากโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนซึ่งซีพีเอฟ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบทและเครือข่ายพันธมิตร มุ่งมั่นร่วมกันที่จะมีส่วนร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหาร เดินหน้าส่งมอบโครงการฯ ให้โรงเรียนต่างๆ ทุกภาคทั่วประเทศ ซึ่งเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา ส่งมอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนให้โรงเรียนบ้านทุ่งมน จ.ขอนแก่น และส่งท้าย ปี 2563 ส่งมอบให้โรงเรียนบ้านเมืองเก่า "ศรีอินทราทิตย์" จ.สุโขทัยในเดือนธันวาคม ส่งเสริมเด็กและเยาวชนเข้าถึงอาหารโปรตีนคุณภาพอย่างไข่ไก่ เพื่อการเติบโตที่สมวัยทั้งร่างกายและสติปัญญา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี